***บทความนี้จะเป็นการสรุป framework ที่สำคัญในเล่มเพื่อการนำไปใช้งานได้จริง
ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาในหนังสือ Marketing 6.0 ที่ Philip Kotler เขียนร่วมกับ Hermawan Kartajaya, Iwan Setiawan ขอย้อนสั้น ๆ เพื่อพูดถึงการตลาดในยุคก่อนหน้าสักเล็กน้อย โดยเริ่มจาก
ยุค 1.0 : Product Centric – เป็นยุคการตลาดมุ่งเน้นสินค้าเป็นให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพสูง
ยุค 2.0 : Customer Centric การตลาดมุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้า เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด
ยุค 3.0 : Human Centric ยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณค่าทางจิตใจและสังคมมากขึ้น การตลาดจึงมุ่งเน้นความเป็นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและสังคม
ยุค 4.0 : Digital Centric ยุคดิจิทัล เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำการตลาดมากขึ้น การตลาดจึงมุ่งเน้นเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นศูนย์กลาง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
ยุค 5.0 : AI-Driven Centric ยุคการตลาดมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อเข้าใจความเป็นมนุษย์และพัฒนามนุษย์และสังคมให้ดีขึ้น โดยอาศัยเทคโนโลยี อย่าง AI, NLP (Natural Language), AR, VR, IoT (Internet of Things) และ Block Chain เพื่อสร้างประสบการให้กับลูกค้าใน Customer Journey ผ่าน data ที่เก็บไว้
เป็นการต่อยอดมาจากหนังสือ Marketing 5.0 เล่มก่อนหน้า ซึ่งเน้นไปที่การตลาดแบบ Immersive Marketing เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ในโลกจริง จึงต้องทำการตลาดใน touching point ทั้งในโลกเสมือนแบบดิจิทัลและโลกจริงต่อเนื่องกัน เพื่อให้การสื่อสารทางการตลาดนั้น ‘ไร้รอยต่อ’ (Seamless)
ยกตัวอย่างเช่น การเข้าไปหาข้อมูลสินค้าในเว็บฯ ของแบรนด์ (โลกดิจิทัล) และจึงไปซื้อหรือลองของหน้าร้าน (โลกจริง) หรือกลับกัน เราอาจจะไปที่หน้าร้าน (โลกจริง) ทดลองสินค้าในโปรแกรมเสมือนจริงแล้วจ่ายเงินผ่านแอปฯ ธนาคาร (โลกดิจิทัล)
Metamarketing จึงแตกต่างจาก Omnichannel Marketing ที่เคยมีมาก่อน ตรงที่นอกจากจะประสานการสื่อสารทั้งการตลาดทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์อย่างไร้รอยต่อแล้ว ยังเพิ่มประสบการณ์ Immersive เข้าไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลการสื่อสารทางการตลาดผ่าน Customer Journey
Customer Journey ของคนยุค Phygital Native (physical + digital) ที่ต้องสลับโลกจริงกับโลกเสมือนไปมา จึงต้องวางระบบให้การทำการตลาดแบบ O2O หรือ Offline-to-Online นี้ราบเรียบไร้รอยต่อที่สุด ผ่านเครื่องมือมากมายที่ต้องบูรณาการกันเพื่อสร้างประสบการณ์ Immersive ผสานกับประสบการณ์ในโลกจริง ๆ อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านการใช้ IOTs, AI, Spatial Computing, AR VR และ Blockchain เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าจนนำไปสู่การปิดการขายในที่สุด
แม้ว่าเราจะคิดว่าคนซื้อของในโลกออนไลน์มากขึ้น ทำไมไม่ทำการดิจิทัลเต็มตัวไปเลย แต่ความเป็นจริงแล้ว สัดส่วนการซื้อของที่ร้านและซื้อของที่ออนไลน์ อย่างในอเมริกายังเป็น 85:15 หรือที่จีน เจ้าแห่งอีคอมเมิร์สก็ยังอยู่ที่ 70:30 เพราะฉะนั้นการซื้อของหน้าร้านก็ยังสำคัญอยู่ แต่มันจะถูกเติมเต็มด้วยประสบการณ์ออนไลน์ตามแนวทางของ Marketing 6.0
การทำการตลาดแบบ Metamarketing จะประกอบด้วย 3 ระดับชั้นดังนี้
ประกอบไปด้วย
Short-from Video Content เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเรียนรู้ ค้นหาและซื้อผลิตภัณฑ์ ผ่านการนำเสนอที่เร็วและง่ายที่สามารถเสพได้ผ่านโทรศัพท์มือถือในเงื่อนไขการจับความสนใจและส่งต่อข้อความที่ซับซ้อนอย่างมีประสิทธิภาพที่ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าและบริการผ่านแพลตฟอร์มโดยตรงได้
ในหนังสือ Marketing 6.0 ยังลงรายละเอียดย่อยในหัวข้อต่าง ๆ อีกมากมาย บทความนี้เป็นเพียงการแนะนำในข้างต้นว่าแนวคิดในการสร้างประสบการณ์ O2O หรือ Offline-to-Online ในการทำการตลาดในโลกจริงและโลกเสมือนแบบไร้ต่อแบบกว้าง ๆ ควรเป็นแบบใดเพื่อการนำไปปรับใช้ในการทำการตลาดในอนาคต ในเรื่องรายละเอียดอื่น ๆ ผู้เขียนแนะนำว่าให้อ่านหนังสือเล่มนี้เพื่อขยายขอบเขตความเป็นไปได้ในโลกของการตลาดในอนาคตต่อไป ดังคำโปรยบนปกที่บอกกับเราว่า.“The Future Is Immersive”