-->
โอม – ปัณฑพล ประสารราชกิจ หรือ โอม cocktail ขวัญใจผู้คนจากหน้ากากหอยนางรม ในรายการ The Mask Singer 2 ด้วย นอกจากเขาจะเป็นนักร้องนักดนตรีแล้ว เขายังเป็นนักกฎหมาย ที่มีดีกรีปริญญากฎหมาย 2 ใบด้วย
มาทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้นกับบทสัมภาษณ์ถึงทัศนคติและมุมมอง ความสำคัญในการตั้งเป้าหมายของเขาที่จะทำให้คุณเข้าใจและเรียนรู้ถึงการไปสู่เป้าหมาย ที่อาจจะทำให้คุณเริ่มมองทิศทางในการเดินทางไปสู่จุดหมายของคุณ ที่จะทำให้คุณไม่ต้องมาเสียดายโอกาสทีหลัง
ติดตามคลิปสัมภาษณ์ได้ที่ https://www.facebook.com/watch/?v=1175566605924223
จริง ๆ ผมว่าการตั้งเป้าหมายเป็นเรื่องสำคัญอยู่แล้วนะ เด็ก ๆ เวลาเราทำวิทยานิพนธ์ เราจะถูกสอนให้ทำสารบัญก่อน ถ้าไม่ทำสารบัญก่อน เราก็ไม่มีโอกาสที่จะทำวิทยานิพนธ์
เพราะงั้น ทำไมต้องทำอย่างนั้น เหตุผลก็คือ เราจะได้รู้ว่าเรากำลังจะเริ่มต้นจากสิ่งไหนไปสู่สิ่งไหน โดยที่ว่าการทำงานมันจะไม่สะบัดไปซ้ายไปขวาที เพราะงั้นการกำหนดแต่ละวัน เพื่อที่ในแต่ละวันจะทำหน้าที่อะไร จะทำงานอย่างไรบ้าง เราไม่สับสน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีภาระหลายอย่างในหนึ่งวัน
เมื่อเลือกซ้ายแล้ว เราจะเสียขวาไปเสมอ แม้ว่าบางคนอาจจะตอบว่า เรากลับมาเก็บขวาทีหลังก็ได้ …ไม่หรอกครับ คุณเสียขวาในเวลานั้นแน่นอน เพราะฉะนั้น ชั่งใจให้ดี ตัดสินใจให้ดี เพราะอย่าลืมว่า แม้กระทั่งในช่วงเวลาที่คุณไม่ตัดสินใจ คุณก็เสียเวลาในการตัดสินใจนั้นไป แบบที่ไม่มีวันคืนกลับมา
ตอนแรกผมจบรัฐศาสตร์ จบกฎหมายต่อ แล้วผมเป็นอาจารย์สอนกฎหมายต่ออีกที ผมถึงจะเป็นนักดนตรี ผมไม่ได้อยากเป็นนักดนตรีครับ ผมแค่ชอบเล่นดนตรี แล้วมีคนยื่นโอกาสให้ผม
ได้ลองเป็นนักดนตรี ผมก็แค่คิดว่า So What The HELL คุณไม่ควรปฏิเสธประสบการณ์ที่เข้ามา คุณวางแผนได้ คำถามนี้ดีอย่าง…เราอาจจะตอบได้ว่าคุณวางแผนได้ แต่ว่าอนาคตจะหยิบยื่นอะไรให้คุณบ้าง?
เพราะฉะนั้นแผนมันต้องมีทั้งกำและคลาย มันต้องรู้ว่าอะไร ควรจะปรับตัวเมื่อไหร่ ควรจะเปลี่ยนแปลงตอนไหน ผมเริ่มเล่นดนตรีด้วยความคิดเดียวที่ว่า ผมอายุน้อย ตอนที่เขายื่นโอกาสให้ ผมไม่เคยสัมผัส ผมรู้สึกเราเล่นดนตรีมาเป็นงานอดิเรกมาทั้งชีวิต ไม่เคยสัมผัสความรู้สึกของการเล่นดนตรีเป็นอาชีพ
ถ้าเราจะลองเถลไถลออกไปสัมผัสสิ่งนี้ซักปีหนึ่ง ไม่ได้กระทบกระทั่งกับการเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยของเราซักหน่อย แต่ใครจะรู้ว่าผมเล่นดนตรีมาถึงนี่ได้ แล้วก็โอกาสในวงการบันเทิงได้ส่งให้ผมได้มีโอกาสได้ไปบรรยายในมหาวิทยาลัยมากกว่าตอนเป็นอาจารย์อีก
การแบ่งและจัดสรรเวลาเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากเวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่าและจำกัด และไม่สามารถจะซื้อคืนได้ แต่ว่าการแบ่งสำคัญมาก และหลาย ๆ คนมักจะมีปัญหาแบบเดียว ๆ กัน ว่าจะแบ่งเวลาไปทำไม? แบ่งยังไง? ทำไมเราแบ่งเวลาได้?
ผมว่าคนเราจริง ๆ ไม่ได้มีปัญหาเรื่องการแบ่งเวลาหรอก ปัญหาส่วนใหญ่มันอยู่ที่การเคารพเวลาที่แบ่งมากกว่า เรารู้ว่าต้องนอน 8 ชั่วโมง ทำงาน 8 ชั่วโมง กินข้าว 3 เวลา รู้ว่าจะต้องอ่านหนังสือ 3 ชั่วโมง แต่พอสุดท้ายแล้ว มันไม่ได้เป็นแบบนั้นหรือเปล่า? เพราะผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เสมอมา
ตอนเด็ก ๆ เคยมีเพื่อนสนิทพูดว่าคนประสบความสำเร็จ ไม่ใช่คนเก่ง แต่เป็นคนแบ่งเวลาได้ เพราะฉะนั้น
คนที่เป็น Master of Time ได้ ก็น่าจะเป็น Master of Everything ด้วย
เราคิดว่า การกำหนดเป้าหมายในแต่ละปี มันเป็นสิ่งสมมุติ เราสมมุติปีขึ้นตามระบบการโคจรของดวงอาทิตย์ หรืออะไรก็ตามเราสร้างวัน สร้างเดือนขึ้น เรากำหนดปีขึ้นมาเพราะว่ามันเป็นการกำหนดการครบรอบของอะไรบางอย่าง มันก็เลยเป็นสัญญะที่เรากำหนดขึ้นมาเอง ว่าเมื่อเวลาผ่านไปถึงจุดหนึ่ง เราจะเริ่มทบทวนอะไรบ้าง ในปีหนึ่ง เราจะทำอะไรบ้าง เท่านั้นเอง
แต่ถามว่าการกำหนดเป้าหมายในแต่ละปีสำคัญไหม มันสำคัญตรงที่ว่าโลกมันหมุนตามปีหมด ถูกไหมครับ งบประมาณ การทำงาน การเลื่อนตำแหน่ง การอะไร มันพิจารณาตามปีหมด เมื่อมันล้อกันแบบนี้ การกำหนดเป้าหมายในแต่ละปี มันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะสอดคล้องในรูปแบบของการกำหนดของคนทั่วไปด้วย
ผมไม่ได้มีเป้าหมายในแต่ละปีที่ชัดเจน เหมือน ๆ กันในทุกปี อยู่แล้ว แต่ถ้าพูดแบบกว้าง ๆ มันจะคล้ายกันคือ ผมอยากจะดีขึ้นในแต่ละปี สิ่งที่เราทำอยู่เสมอในองค์กรของเราคือ เราจะทบทวนว่ามีสิ่งใดผิดพลาดในปีที่ผ่านมา ผิดพลาดด้วยเรื่องใด แล้วก็เรากำลังมุ่งหน้าไปสู่อะไร เราเองจะยังมีอายุในสิ่งที่เราทำไปได้อีกกี่ปี
เมื่อเรากำหนดคร่าว ๆ ได้ว่า จุดเริ่ม จุดที่เราอยู่ และจุดจบจะอยู่ที่ประมาณไหน เรามักจะกะประมาณได้ว่า เราควรจะทำอะไร อย่างไรบ้าง มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง ผมว่าการแก้ไขต้องมาก่อน การแก้ไขสิ่งที่พลาดในปีนี้ ไม่ให้พลาดในปีหน้า ส่วนปีหน้า สิ่งใดที่เรายังขาด ไม่ใช่เรื่องความผิดพลาดนะครับ เป็นเรื่องที่เราต้องทำต่อมา แต่สิ่งที่ต้องทำก่อน ก็คือข้อผิดพลาดจะต้องถูกแก้ไขก่อน
จริง ๆ การตั้งเป้าหมาย มันคือการกำหนดว่าสิ่งใดสั้น สิ่งใดยาว มันกำหนดด้วยสภาพแวดล้อม ของปัญหาและปัจจัยนั้น ๆ อยู่แล้ว เช่น ฉันจะสำเร็จการพูดภาษาฝรั่งเศสโดยที่ไม่มีพื้นเลยนะ ในสองสัปดาห์ ตั้งไม่ได้หรอกครับ
คือของบางอย่างมันด้วยสภาพ ด้วยสติปัญญาที่คุณมีอยู่ ด้วยความสามารถ ด้วยพรสวรรค์ ด้วยเนื้อหาของสิ่งที่ต้องทำนั้น กำหนด ด้วยเวลา มันได้กำหนดตัวมันเองด้วยประมาณหนึ่งอยู่แล้ว การตั้งเป้าหมายนั้นต้องสอดคล้องกับสิ่งที่เรามี ทั้งภายในและภายนอก
ภายในคือสิ่งที่มีอยู่ข้างใน ภายนอกคือองค์ประกอบรอบ ๆ ที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นผมว่าการตั้งเป้าหมายที่ถูกต้อง คือ การตั้งเป้าหมายแต่ละเรื่องให้มันสอดคล้องกับสิ่งที่เป็นมากกว่า ผมไม่เคยเชื่อเลยว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ความพยายามอยู่ที่ไหน โอกาสในความสำเร็จนั่นย่อมเพิ่มขึ้นตามความพยายามนั้น แต่ไม่ได้การันตีความสำเร็จ
การพยายามนั้นทรงคุณค่า คือ เราไม่ย้อนกลับมาแล้วเสียใจว่า ฉันได้ทำมากเพียงพอกับที่ฉันควรจะทำบ้างหรือเปล่า อย่ามัวแต่หาสูตรในชีวิตนักเลย มีเรื่องต้องทำก็ทำเถอะ
ผมว่าเรื่องบางเรื่องมันง่ายครับ เวลาตั้งเป้าหมายเนี่ย คิดก่อนเลยว่าอะไรก่อน อะไรหลัง อย่าบอกผมว่าไม่รู้ เพราะว่าหลายเรื่อง เชื่อเถอะ…มันเป็นเรื่องที่จะต้องทำก่อนอยู่แล้ว เรื่องไหนต้องทำ เรื่องไหน เดดไลน์มันมาก่อน ทำให้เสร็จก่อน เรื่องไหนเดดไลน์มันทีหลัง เอาไว้ข้างหลัง เรื่องไหนใช้เวลาน้อยและจัดการได้รวดเร็วก็จัดการให้มันเสร็จสิ้น เรื่องไหนต้องใช้เวลานาน ก็ดูซิว่าจะใช้เวลานานซักเท่าไหร่ แค่นั้นเอง เอาแค่นี้ก่อน เรื่องอื่นไม่ต้องคิดมากเลยครับ ส่วนเรื่องอื่นที่มันต้องทำพร้อม ๆ กัน ทำเมื่อไหร่ก็ได้
ทำเมื่อไหร่ก็ได้ยังไง อย่าหยิบขึ้นมาทำจนกว่าเรื่องที่มันจำเป็นกว่าจะเสร็จสิ้นไป เพราะฉะนั้น อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง แค่นี้ก็พอแล้ว