ปัญหาถาโถม จนไม่มีใจอยากไปต่อ ‘Mental Fatigue’ สัญญาณอันตรายที่เป็นต้นกำเนิดของความ ‘หมดไฟ’
![mental-fatigue](https://futuretrend.co/wp-content/uploads/2022/10/mental-fatigue.jpg)
‘ปัญหา’ สิ่งที่ใครๆ ก็ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ในโลกของการทำงานกลับเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้จะทำงานแบบรัดกุมแค่ไหน ก็อาจจะเจอปัญหาเรื่องคน การประสานงาน หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เสมอ โดยเฉพาะหัวหน้าที่ต้องคอยรับแรงปะทะจากปัญหาที่เข้ามาทุกทิศทุกทาง
ถึงแม้หลายๆ คนจะพยายามทำใจยอมรับว่า ปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้เวลาทำงานอยู่แล้ว แต่ความเครียดและความกังวลใจยามที่ต้องเผชิญปัญหากลับฝังลึกและสะสมอยู่ในใจโดยไม่รู้ตัว
มิหนำซ้ำ ปี 2022 ยังเป็นปีที่มีเหตุการณ์หลายๆ อย่างเกิดขึ้น และส่งผลกระทบต่อคนทำงานทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงการเลย์ออฟ (Layoff) หรือการปลดพนักงานจำนวนมาก ซึ่งปัญหาเหล่านี้ ทำให้หลายๆ คนเกิดความกดดัน และรู้สึกว่าต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อให้เป็นผู้รอดชีวิตท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย
เมื่อปัญหาถาโถมเข้ามาเกินจะรับไหว สภาพจิตใจที่เคยแข็งแกร่งก็อ่อนแอลง ยิ่งปล่อยไว้นานเกินไป สุขภาพกายและใจจะพังเกินเยียวยา จนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘Mental Fatigue’ หรือ ‘อาการเหนื่อยล้าทางใจ’
‘Mental Fatigue’ คืออะไร?
![Mental Fatigue](https://futuretrend.co/wp-content/uploads/2022/10/young-woman-sits-table-reads-book-night-with-lamp-light-1024x678.jpg)
หลายๆ คนที่ต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน คงมีอาการหัวตื้อ สมองตัน คิดอะไรไม่ค่อยออก และรู้สึกเหนื่อยแม้จะไม่ได้ออกแรงทำอะไรมากมายก็ตาม ซึ่งอาการเหล่านี้ คือสัญญาณที่บอกว่า “เรากำลังอยู่ในภาวะ Mental Fatigue แล้ว”
Mental Fatigue เป็นคำอธิบายอาการเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย มีสาเหตุมาจากความเครียด และการใช้สมองอย่างหนัก
งานวิจัยจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยปีเต-แซลแปตริแยร์ (Pitié-Salpêtrière University Hospital) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระบุว่า อาการเหนื่อยล้าทางใจไม่ได้เป็นเพียงความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น แต่เป็นผลมาจากการที่สมองหลั่งสารเคมีที่ชื่อ ‘กลูตาเมต’ (Glutamate) บริเวณสมองส่วนหน้ามากเกินไป
ซึ่งกลูตาเมต คือสารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำและการเรียนรู้ หากในสมองมีการหลั่งกลูตาเมตมากเกินไป จะทำให้เป็นพิษต่อเซลล์ประสาท และเป็นสาเหตุของโรคทางระบบประสาทอีกมากมาย
นอกจากอาการเหนื่อยล้าทางใจจะเป็นสัญญาณอันตรายเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บที่เข้ามาใกล้ตัวเต็มที ยังเป็นสาเหตุทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และรู้สึกหมดไฟ (Burnout) จนไม่มีแรงใจจะทำงานมากกว่าเดิม
ในเมื่ออาการเหนื่อยล้าทางใจเป็นโทษกับสุขภาพกายและใจมากเช่นนี้ จะมีวิธีกำจัดอาการเหนื่อยล้าออกไปได้อย่างไรบ้าง?
3 เทคนิคเพิ่มความแจ่มใสให้จิตใจ ห่างไกล ‘Mental Fatigue’
ถึงแม้ว่า คณะผู้วิจัยจะยังไม่สามารถหาวิธีจัดการกับปริมาณกลูตาเมตที่สมองหลั่งออกมาได้อย่างชัดเจน แต่เราก็มีเทคนิคดีๆ จากเว็บไซต์ SciTechDaily มาฝากด้วยกันทั้งหมด 3 ข้อ เพื่อให้ทุกคนได้ลองนำไปปรับใช้ และเพิ่มความแจ่มใสให้จิตใจตามสไตล์ของตัวเอง
![Self Love](https://futuretrend.co/wp-content/uploads/2022/10/love-yourself-happy-inspirational-concept-1024x662.jpg)
1. ให้ความสำคัญกับนอนหลับ
วิธีการนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งที่ได้ร่ำเรียนกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นการเข้านอนตอนหัวค่ำ หรือการนอนให้ได้อย่างน้อย 7 ชั่วโมงก็ตาม แต่สิ่งเหล่านี้กลับทำได้ยาก เมื่อชีวิตก้าวเข้าสู่วัยทำงาน
ไม่ว่าจะด้วยงานที่ติดพัน หรือความเครียดที่ตามไปหลอกหลอนก่อนนอนก็ต้องสลัดให้หลุด เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เพราะนอกจากจะเป็นช่วงที่ร่างกายได้ฟื้นฟูจากความเหนื่อยล้าแล้ว ยังเป็นช่วงที่สมองได้กำจัดกลูตาเมตที่หลั่งมาตลอดทั้งวันด้วย
2. ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน
สมองต้องการพลังงานคิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานที่ได้รับเข้าไปทั้งหมด หากต้องการสร้างความกระปรี้กระเปร่า เพื่อที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อกระตุ้นการทำงานของสารสื่อประสาทและหน่วยความจำในสมอง เช่น บลูเบอร์รี น้ำมันปลา ถั่ว เป็นต้น
นอกจากเรื่องอาหารการกินแล้ว การดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน เพราะน้ำจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในร่างกาย และช่วยให้ระบบการไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดี ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
3. หยุดทำงานแบบมัลติทาสก์ (Multitask)
หลายๆ คนคงติดนิสัยการทำงานแบบมัลติทาสก์ หรือการทำงานหลายๆ อย่างในเวลาเดียว เพราะรู้สึกว่าเป็นวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ แต่จริงๆ แล้วกลับให้ผลลัพธ์ในทิศทางตรงข้าม แทนที่จะโฟกัสกับการทำงานชิ้นแรกให้เสร็จไปเลย ก็ต้องสลับไปมาและเสียเวลาในการทำความเข้าใจงานชิ้นใหม่แทน ส่งผลให้สมองต้องทำงานมากขึ้น และเกิดการหลั่งกลูเมตมากกว่าเดิม
หัวใจสำคัญของการกำจัดอาการเหนื่อยล้าทางใจ ต้องเริ่มจากการที่ตัวเราเองมีลิมิตในการทำงาน ถึงแม้จะเป็นคนที่รักในความสมบูรณ์แบบ และไม่สามารถปล่อยงานที่ไม่มีคุณภาพออกไปได้ แต่การทำงานที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและใจ ก็คงไม่ใช่สิ่งที่ดีอย่างแน่นอน
แล้วคุณล่ะ มีวิธีการกำจัดอาการเหนื่อยล้าของตัวเองอย่างไร?
Sources: https://bloom.bg/3r7lYUS
https://bit.ly/3BRLy5j
https://bit.ly/3BPpjg1