ปัจจุบัน อินเทอร์เน็ตได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์อย่างเราๆ ทุกคนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกช่วงวัย และสามารถใช้งานมันได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าเป็นการสื่อสาร การทำงาน หรือการพักผ่อนก็ตาม ดังนั้น อินเทอร์เน็ตจึงถือเป็นความก้าวหน้าทางดิจิทัลที่ช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเราสะดวกสบาย มากยิ่งขึ้น แต่ในข้อดีย่อมมีข้อเสียแอบแฝงไว้ โดยผลกระทบของยุคดิจิทอลนั้นส่งผลให้โลกเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ผู้คนต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลา และทำให้เกิดวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่เราเรียกว่า ‘Hustle Culture’ ‘Hustle Culture’ คือวัฒนธรรมแห่งความเร่งรีบ หรือเรียกอีกอย่างว่าวัฒนธรรมการ ‘คลั่งงาน’ ซึ่งหมายถึงคนที่ทำงานเกินกว่าระยะเวลาปกติ เพื่อสร้างผลลัพท์ที่ดีในระยะเวลาสั้นๆ เช่น พนักงานทำงานเฉลี่ยวันละ 8 ชั่วโมง หรือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่กลายเป็นว่าในบริษัทมีคนทำงานเฉลี่ยมากกว่านั้น ซึ่งบริษัทในรูปแบบสตาร์ตอัปมักจะใช้วัฒนธรรมนี้ในการขัดเกลาความสามารถของพนักงานให้แสดงออกมาได้อย่างดี เพื่อให้บริษัทเติบโตและได้รับผลประโยชน์โดยเร็วที่สุด ...
‘สวัสดีค่ะพี่แจ็ค เรื่องมันเริ่มจากตอนที่เขาขอตัวไปอาบน้ำแล้วไม่กลับมาอีกเลย..’ เรื่องเล่า(เกือบ)สยองขวัญในรูปแบบนี้ เป็นสิ่งที่หลายๆ คนคงพบเจอกันมาบ้าง กับการที่เราคุยกับใครสักคน แล้วอีกฝ่ายขอตัวไปทำธุระ ไม่ว่าจะกินข้าว ดูหนัง หรืออาบน้ำ และถึงแม้จะเป็นกิจกรรมที่ใช้เวลาเพียงสั้นๆ แต่พวกเขาก็แทบไม่เคยกลับมาตอบหรืออธิบายให้เรารู้เรื่องเลยสักครั้ง ความสัมพันธ์ในรูปแบบดังกล่าวมีชื่อเรียกด้วยนะ โดยเราจะเรียกมันว่า ‘Ghosting Relationship’ หรือความสัมพันธ์แบบผีๆ เป็นการยุติความสัมพันธ์แบบกะทันหันและไม่มีสัญญาณเตือน อธิบายง่ายๆ คือการที่อีกฝ่ายทำตัวเหมือน ‘ผี’ นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป โดยไม่มีคำอธิบายอะไรสักอย่าง และปล่อยให้คนที่คิดมากเป็นตัวเราแทน ในปัจจุบัน การใช้โซเชียลและแอปพลิเคชันในการหาคู่นั้นได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และได้เปลี่ยนวิธีที่เราใช้สานสัมพันธ์กับคนอื่นไปอย่างสิ้นเชิง โดยเราสามารถคุยกับใครก็ได้ และสามารถยุติความสัมพันธ์นั้นได้ง่ายๆ เช่นกัน จึงทำให้ปรากฏการณ์ ‘Ghosting’ เกิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ Leah ...
“คุณตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความสุข เตรียมตัวออกไปทำงานด้วยความกระตือรือร้น แต่เมื่อเท้าคุณเหยียบเข้าไปที่ออฟฟิศเท่านั้นแหละ อุณหภูมิในตัวของคุณแทบจะร้อนดั่งพระอาทิตย์ อารมณ์แสนดีตอนตื่นนอนหายไปหมดแล้ว” คุณเคยเป็นประสบปัญหาแบบนี้ไหม แทบจะไม่ใช่สถานที่ทำงาน แต่เป็นสนามอารมณ์แห่งความโกรธเกรี้ยว วันนี้ Future Trends จะมานำเสนอ 5 วิธีการรับมือกับความโกรธในที่ทำงาน จากผลสำรวจของ Gallup ในปี 2022 พบว่า 21 เปอร์เซ็นต์ ของคนทำงานทั่วโลกประสบปัญหากับความโกรธในที่ทำงาน การแบกรับอารมณ์ความรู้สึกในออฟฟิศนี้เชื่อมโยงกับโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ อาการซึมเศร้า และอื่นๆ อีกมากมาย และความโกรธแค้นในที่ทำงานส่งผลเสียมากต่อสุขภาพจิตของเรา แถมยังขัดขวางการทำงานอีกด้วย ความโกรธอาจทำให้การประมวลผลทางความคิดลดลง ส่งผลให้แรงจูงใจและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลง Lee Crocket นักยุทธศาสตร์อาชีพกล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่การกระทบกันเล็กน้อยไปจนถึงความขัดแย้งใหญ่หลวงของเพื่อนร่วมงาน ...
“ในขณะที่บางบริษัทกำลังใช้อำนาจในการข่มขู่พนักงานพร้อมยื่นคำขาดให้กลับเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศโดยไม่มีการพูดคุยหาทางออกกับกลุ่มพนักงาน บางบริษัทก็กำลังจูงใจพนักงานด้วยสิทธิพิเศษต่างๆ เพื่อให้พวกเขากลับเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ” แม้แต่ Zoom แพลตฟอร์มการสื่อสารด้วยวิดีโอ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นสัญลักษณ์ของการทำงานจากระยะไกล ดูเหมือนจะออกนโยบายใหม่ที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก พวกเขาบังคับให้พนักงานที่อยู่ในรัศมีพื้นที่กว่า 80 กิโลเมตรต้องกลับเข้ามาทำงานในออฟฟิศอย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ เกิดเป็นกระแสในโลกออนไลน์ที่ตั้งคำถามว่า “แพลตฟอร์มการสื่อสารออนไลน์ แต่พนักงานไม่สามารถทำออนไลน์ได้นี่มันแปลกไปหน่อยไหม?” Zoom เป็นเพียงหนึ่งในธุรกิจล่าสุดที่บังคับให้พนักงานกลับเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศถึงแม้จะย้อนแย้งในผลิตภัณฑ์ของตัวเองก็ตาม ในขณะที่บริษัทหลายแห่งกำลังบังคับพนักงานอย่างไม่ฟังความคิดเห็นใดๆ ก็มีบริษัทไม่น้อยที่เลือกจะ “ใช้ความสำคัญกับการพูดคุยกับพนักงานและหาทางออกร่วมกัน” หลายบริษัทบอกว่ากลยุทธ์ที่อ่อนโยนกว่าการบังคับได้ผลดีกว่า แต่การจะสร้างกลยุทธ์ที่อ่อนโยนได้นั้นต้องมีการสอบถามความต้องการของบริษัทและพนักงานร่วมกัน [ ฟังเสียงพวกเขา ] James Arnall ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ Perkbox ในลอนดอน พยายามบังคับให้ทีมงาน 15 คนทั่วสหราชอาณาจักรและออสเตรเลียกลับเข้าออฟฟิศ “เราคิดว่าจะทำงานร่วมกันได้ดีขึ้นทั้งฝ่ายขาย ...
“ในที่สุดแผนของคุณในการแนะนำเพื่อนสองคนให้มารู้จักกันก็เกิดขึ้น ฟิล์ม และ เซนต์ ทั้งสองคนเคยได้ยินเรื่องราวของกันและกัน พวกเขายินดีมากที่จะพบกันเพื่อทานอาหารเย็น คุณได้จองที่พักให้พวกเขาในคืนวันศุกร์ และกำลังจะส่งข้อความรายละเอียดให้เซนต์ แต่แล้วก็มีความคิดนึงเข้ามาในหัว เซนต์จะสายเสมอ!” “ไม่ใช่แค่ 5 นาที สายที่พูดถึงนี้คือ 30 นาที ดูเหมือนว่าเซนต์จะมองว่าการตรงต่อเวลาเป็นสิ่งที่ตกทอดมาจากยุคเก่า คุณจะทำอย่างไรดีถ้าเซนต์มาสาย 30 นาที การเจอกันครั้งนี้คงไม่ใช่การเจอกันที่เต็มไปด้วยความประทับใจแน่ แต่! ถ้าคุณบอกเซนต์ว่ามื้อเย็นคือ 6 โมง แทนที่จะเป็น 6โมงครึ่งล่ะ? ด้วยวิธีนี้เธอจะมาตรงเวลาพอดีเลยนะ” คำถามของเหตุการณ์นี้คือ “เราควรที่จะโกหกไหม?” ถ้าเป็นคุณจะทำอย่างไร? [ บางทีคุณควรโกหก! ] คุณคิดว่าความสัมพันธ์ใหม่นี้อาจดีสำหรับทั้งคู่ ...
‘หารกันเปล่า ไปเป็นเพื่อนหน่อย ช่วยทำที ขอวันพรุ่งนี้นะ’ หลากหลายประโยคคุ้นชินที่ไม่ว่าจะอยู่ช่วงวัยไหนก็ต้องเคยได้ยินอย่างแน่นอน และคำตอบรับส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นการตอบตกลงอย่าง ‘ได้สิ ได้ครับ ได้ค่าาา’ ใช่มั้ยล่ะ นั่นก็เป็นเพราะว่ามนุษย์มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างพึ่งพาการตอบแทนซึ่งกันและกัน ทำให้มนุษย์มีความต้องการที่จะสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนในสังคม ดังนั้น การปฏิเสธจึงเป็นเหมือน ‘ข้อห้าม’ ในการสนทนา เพราะอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้ง และทำให้เราไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงาน (ที่บางทีก็อยู่ในรูปแบบหัวหน้า) ก็ตาม เรามักไม่ยอมปฏิเสธเพื่อรักษาน้ำใจผู้อื่นอยู่เสมอ แต่เคยลองคิดเล่นๆ บ้างมั้ย ว่า ‘แล้วตัวของเราล่ะ ใครจะเป็นคนรักษา’ หากจะโบ้ยให้คนอื่นก็ดูจะเป็นอะไรที่ยากไปสักนิด เพราะฉะนั้น ก็เป็นตัวเราเองนี่แหละ ที่สามารถรักษาตัวเองได้ดีที่สุด วันนี้ Future ...
สืบเนื่องจากงาน ‘Apple Event 2023’ ที่ผ่านมา เมื่อช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 13 กันยายน 2566 (เวลาประเทศไทย) เป็นงานสำคัญประจำปีของแอปเปิ้ลเพื่อเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ของแบรนด์ ภายในงานเปิดตัวนี้ เรือธงที่เป็นที่จับตามองของผู้ชมคงจะหนีไม่พ้น ‘iPhone 15 Series’ แต่ในช่วงเริ่มต้นของงานนี้ได้มีเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่ ถ้าผู้อ่านเป็นแฟนตัวยงของ Future Trends น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องราวเทคโนโลยีของแอปเปิ้ลที่เราชอบนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็น Crash Detection Emergency SOS Heart rate ที่มันทำให้บางคนมีชีวิตรอดจากภัยอันตราย ทางแอปเปิ้ลได้นำข่าวเหล่านี้มาสร้างเป็นเรื่องราวเปิดก่อนเริ่มงาน ทาง Future Trends จึงอยากจะพาผู้อ่านทุกท่านไป Recap ...
‘แป๊บหนึ่ง เดี๋ยวก่อน ไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยทำ’ ถ้อยคำเหล่านี้มักออกมาจากปากหรือความคิดในตอนที่เรารู้สึก ‘ยังไม่อยากทำ’ อะไรก็ตามในเวลานั้น จะเรียกว่าเป็นเหมือน ‘การผัดวันประกันพรุ่ง’ ก็ย่อมได้ โดยอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น เป็นสิ่งยากเกินไป เป็นเรื่องหยุมหยิม หรือบางที ก็อาจเป็นเพราะความขี้เกียจของเราเอง การสะสมกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ ในวันหนึ่งมันก็ต้องกลายเป็นก้อนที่ใหญ่เบิ้มอย่างแน่นอนเลยล่ะ และเมื่อมันมีปริมาณที่มาก ก็คงไม่มีใครอยากที่จะจัดการกับมัน แน่ล่ะ แค่ชิ้นเล็กๆ เราก็ยังขี้เกียจเลยนี่นา ไม่ต้องกังวล! ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วย ‘กฎ 2 นาที (2-Minute Rule)’ จากหนังสือ Getting ...
ในปัจจุบันเราอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พัฒนาเรื่องราวต่างๆ ไปจนบางทีก็ไม่สามารถตามทันได้ ในกลุ่มพ่อแม่ยุคใหม่ที่ต้องการวางแผนชีวิตให้ลูกของพวกเขา ความคิดเกี่ยวกับการเป็นผู้ประกอบการได้รับความสนใจมากขึ้น มีการสร้างกรอบความคิดในการเป็นผู้ประกอบการให้กับลูกตั้งแต่ยังเด็ก ความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ การรับความเสี่ยง และสร้างมูลค่าจึงกลายเป็นทักษะพื้นฐาน ในการปลูกฝังกรอบความคิดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อยช่วยให้เด็กๆ ไม่เพียงเพื่อเป็นเลิศในอาชีพการงานเท่านั้น แต่ยังมีส่วนสนับสนุนสังคมเชิงบวกในฐานะผู้นำในอนาคต นักแก้ปัญหา และผู้บุกเบิกอีกด้วย ด้วยเหตุผลเช่นนี้เราจึงอยากจะแนะนำ 10 เคล็ดลับ เพื่อการปลูกฝังแนวคิดการเป็นผู้ประกอบการในตัวเด็กตั้งแต่พวกเขายังอายุน้อยๆ เพื่อทำให้พวกเขาอยู่บนเส้นทางแห่งนวัตกรรม และความสำเร็จ [ เคล็ดลับ 10 ข้อ ในการปลูกฝังแนวคิดการเป็นผู้ประกอบการในตัวเด็ก ] 1. ส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็นและการสำรวจ เป็นเรื่องปกติที่เด็กๆ จะมีความอยากรู้อยากเห็น และกระตือรือร้นที่จะสำรวจโลกธรรมชาติรอบๆ ตัว ส่งเสริมและสนับสนุนความอยากรู้อยากเห็นนี้โดยให้พวกเขาได้สัมผัสประสบการณ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ การเข้าร่วมการทดลองจริง ...
Street View เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ Google Maps มันทำให้ผู้ใช้งานได้เข้าไปอยู่ในสถานที่จริง โดยใช้ภาพถ่ายถนน เพื่อให้คุณเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ทั่วโลกได้แบบเสมือนจริง Street View ช่วยเหลือการใช้ชีวิตประจำของเราได้ดีมาก ทั้งการดูสถานที่จริงก่อนไป สำรวจบริเวณรอบๆ แต่น่าเสียดายที่การมีข้อดีย่อมตามมาด้วยข้อเสีย Street View จะเป็นอย่างไรถ้าถูกใช้งานในจุดประสงค์ที่ไม่ดี? ด้วยความที่มันระบุสถานที่ และภาพของสถานที่จริงได้เป็นอย่างดี ทำให้มันเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับพวกสะกดรอยติดตาม(Stalker) และอาชญากร(Criminal) อีกด้วย เปรียบเสมือนว่ามันให้ตั๋วฟรีไปทัวร์บ้านของคุณ ที่ไม่ต้องออกแรกขับรถไปเลย เพียงแค่มองผ่านจอคอมพิวเตอร์ในขณะที่นั่งอยู่บนโซฟา วันนี้ Future Trends จะมานำเสนอวิธีการป้องกันบ้านของคุณด้วยการ ‘เบลอ’ (Blur) บ้านของคุณบน Google Maps ...