-->
โซลฟู้ด (Soul Food) หรืออาหารที่ทำให้หวนนึกถึงความทรงจำวัยเด็กสำหรับคุณคืออะไร?
หลายคนคงนึกถึง ‘สุกี้’ เป็นอันดับแรก เพราะไม่ว่าจะสังสรรค์ในโอกาสอะไร ครอบครัวก็จะพาลูกๆ ไปทานอาหารมื้อพิเศษที่ร้านสุกี้อยู่บ่อยๆ รวมถึงเป็นอาหารที่ทำให้หลายครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกัน ผลัดกันใส่เนื้อและผักที่ชอบก่อนจะตักแบ่งให้กันอย่างมีความสุข
และร้านสุกี้ที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายคนมาอย่างยาวนาน คงหนีไม่พ้น..
“กินอะไร กินอะไร กินอะไรไปกินเอ็มเค~”
เจ้าของเพลงโฆษณาที่สุดแสนจะคุ้นหูอย่าง ‘เอ็มเค’ (MK Restaurant) นั่นเอง
ปัจจุบัน เอ็มเคดำเนินธุรกิจร้านสุกี้มากว่า 37 ปี มีรายได้ต่อปีมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท ถึงแม้จะมีคู่แข่งหน้าใหม่ไฟแรงเกิดขึ้นมากมาย แต่ความเก๋าเกมและประสบการณ์ที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน ทำให้เอ็มเคยังคงยืดหยัดในสนามแข่งอันเร่าร้อนของตลาด ‘สุกี้-ชาบู’ และเป็น ‘Top of Mind’ ของหลายครอบครัวมาจนถึงปัจจุบัน
แนวคิดที่อยู่เบื้องหลัง ‘ความแข็งแกร่ง’ ของเอ็มเคคืออะไร? Future Trends จะพาทุกคนไปถอดบทเรียนความสำเร็จของเอ็มเคพร้อมๆ กัน
จุดเริ่มต้นของ ‘เอ็มเค’ เกิดจากร้านอาหารเล็กๆ ของ ‘ทองคำ เมฆโต’ หญิงสาวคนหนึ่งที่มีใจรักในการทำอาหาร เธอได้ซื้อกิจการต่อจาก ‘มาคอง คิงยี’ (Makong King Yee) เจ้าของร้านคนเดิมที่ตัดสินใจไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งคำว่า ‘เอ็มเค’ ที่เป็นชื่อร้านมาจนถึงปัจจุบันก็มาจากชื่อของมาคองด้วย
ฝีมือการทำอาหารและความเป็นกันเองของทองคำ ทำให้ร้านประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว จนไปเตะตา ‘สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์’ ผู้บริหารของเครือเซ็นทรัลในยุคนั้น และชักชวนทองคำมาเปิดร้านอาหารที่ห้างเซ็นทรัล สาขาลาดพร้าว โดยใช้ชื่อร้านว่า ‘กรีน เอ็มเค’
2 ปีหลังจากการก่อตั้งกรีน เอ็มเค (พ.ศ. 2529) ร้านสุกี้ ‘เอ็มเค’ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น และดำเนินธุรกิจร้านสุกี้นับแต่นั้นเป็นต้นมา ความสำเร็จของเอ็มเคไม่ได้ฉายชัดแค่ในไทย แต่ยังพิสูจน์ได้จากการมีสาขาในเอเชียมากกว่า 400 แห่ง และกลายเป็น ‘อาณาจักร’ ร้านอาหารรายใหญ่ของไทยมาจนถึงทุกวันนี้
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เทรนด์การบริโภคอาหารของผู้คนเปลี่ยนไป จากที่เคยทานอาหารในร้าน ก็หันมาพึ่งพาแพลตฟอร์มเดลิเวอรี และสั่งอาหารมาทานที่บ้านมากขึ้น ถึงแม้ความสดใหม่ของอาหารจะไม่เทียบเท่ากับการทานที่ร้าน แต่แลกกับความสะดวกสบายก็ถือเป็นเรื่องที่คุ้มค่า
เทรนด์ที่เปลี่ยนไป ส่งผลกับเอ็มเคโดยตรง เพราะเป็นร้านอาหารที่เหมาะกับการทานเป็นหมู่คณะ และเน้นขายประสบการณ์การนั่งทานที่ร้านมากกว่าการซื้อกลับบ้านหรือเดลิเวอรี ทำให้ต้องมีการปรับตัวในรูปแบบที่ต่างไปจากเดิม ซึ่งโจทย์สำคัญคือจะปรับตัวอย่างไร ให้ยังมีความเป็นเอ็มเคอยู่
คำตอบของโจทย์นี้ คือการสร้างความหลากหลายจากรากฐานที่ดีอยู่แล้ว ต้องยอมรับว่า เอ็มเคเป็นร้านอาหารที่มีระบบครัวกลางและโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง ทำให้การปรับตัวในทิศทางใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องยาก อีกทั้งยังมีแนวคิดการทำงานที่ยืดหยุ่น สามารถปรับใช้กับการบริหารงานได้ทุกยุคสมัย
แนวคิดการทำงานของ ‘เอ็มเค’ ที่ปรับใช้ได้ทุกยุคสมัยคืออะไร? เราสรุปมาเป็น Key Takeaway ที่นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจแล้ว ยังสามารถปรับใช้กับการพัฒนาตัวเองได้อีกด้วย
‘วิกฤต’ คือช่วงเวลาที่ทำให้มองเห็นปัญหา และเป็นสัญญาณเตือนว่า “ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องปรับตัว” แต่จริงๆ แล้ว การปรับตัวไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นแค่ในช่วงเวลาที่เป็นวิกฤตเท่านั้น เพราะการปรับตัวสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หากเจ้าของธุรกิจมองว่า เทรนด์นี้เป็นสิ่งน่าสนใจก็อาจจะชิมลาง เพื่อสร้างน่านน้ำใหม่ๆ ให้กับแบรนด์ของตัวเอง
อีกทั้งการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องตามเทรนด์ที่เปลี่ยนไป ยังเป็นการเตรียมพร้อม เพื่อไม่ให้เจ็บหนักเวลาที่เกิดวิกฤต และอย่ากลัวที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆ เพราะการทดลองจะทำให้เห็นโอกาสที่น่าสนใจในการพาแบรนด์ก้าวไปสู่จุดที่เติบโตขึ้น
คู่แข่ง หมายถึง ผู้ที่เข้าแข่งขันเอาชนะกัน, ฝ่ายตรงข้าม, คู่ต่อสู้
ความหมายที่ตรงไปตรงมา ทำให้เจ้าของธุรกิจหลายๆ คนรู้สึกว่า ‘คู่แข่ง’ คือสิ่งที่ต้องเอาชนะ หรือพยายามช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดของกันและกันมาให้ได้ แต่ ‘ฤทธิ์ ธีระโกเมน’ หัวเรือใหญ่คนปัจจุบันของเอ็มเคกลับมองต่าง เขามองว่า คู่แข่งที่เกิดขึ้นมามากมาย เป็นความหลากหลายในวงการธุรกิจ เราสามารถใช้ความสำเร็จของคู่แข่งมาเป็นแรงผลักดันในการก้าวไปข้างหน้าได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องรู้สึกเอาชนะจนกดดันตัวเอง
สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของแนวคิดทั้งสองข้อคือ ‘การเปิดใจ’ ถ้าแบรนด์ไม่เปิดใจรับรู้เทรนด์ใหม่ๆ ก็ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ตกขบวนไปอย่างน่าเศร้า และไม่สามารถเป็น ‘Top of Mind’ ท่ามกลางการแข่งขันอันร้อนแรงได้ รวมถึงการเปิดใจกับความสำเร็จของคู่แข่งก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะถ้าเกิดความรู้สึกเชิงลบในใจ การผลักดันตัวเองด้วยความสำเร็จของคู่แข่งคงไม่มีทางเกิดขึ้นแม้แต่นิดเดียว
Sources: https://bit.ly/3VrT4N6