ดูเหมือนว่า อานุภาพของ ‘พระโคกินบัตรคอนเสิร์ต’ ในปี 2022 จะลากยาวมาถึงปี 2023 นอกจากจำนวนศิลปินที่ตบเท้าเข้ามาจัดคอนเสิร์ตในไทยจะไม่ลดลงแล้ว ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีการจัดคอนเสิร์ตไปแล้วมากกว่า 200 ครั้ง ในเวลาเพียง 1 ปีก็ตาม
ยิ่งช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา มีการจัดคอนเสิร์ตมากมายหลายรูปแบบ โดยไฮไลต์ที่เป็นไวรัลในโลกออนไลน์อย่าง ‘WATERBOMB BANGKOK 2023’ เฟสติวัลใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ และ ‘Rolling Loud Thailand 2023’ เฟสติวัลสุดร้อนแรงกลางเมืองพัทยา
อีกทั้งในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ฝั่งตะวันตกก็มี ‘Coachella’ งานดนตรีระดับโลกที่มี ‘Headliner’ หรือวงหลักของงานเป็นศิลปินชื่อดังมากมาย และมี ‘BLACKPINK’ เกิร์ลกรุ๊ปสัญชาติเกาหลีใต้เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
การที่ซีกโลกตะวันตกและตะวันออกพากันจัดคอนเสิร์ตหรือเทศกาลดนตรีสุดยิ่งใหญ่ สะท้อนให้เห็นถึง ‘การปลดแอก’ ตัวเองจากโควิด-19 และ ‘การล้างแค้น’ ให้กับวิถีชีวิตที่ผิดจากการเป็น ‘สัตว์สังคม’ ที่ต้องขับเคลื่อนความสุขด้วยการมี ‘ดนตรี’ ในหัวใจ
แต่นอกจากประเด็นเหล่านี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจโดยมี ‘คอนเสิร์ต’ เป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะไม่ว่า คอนเสิร์ตจะไปตั้งที่แห่งหนใด จะเปรียบเสมือนเม็ดเงินที่โปรยปรายในพื้นที่นั้นเสมอ ทำให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้ามองว่า นี่คือโอกาสทองในการสร้างรายได้ของตัวเอง
กลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแผ่ขยายความเจริญโดยมี ‘คอนเสิร์ต’ เป็นศูนย์กลางมีลักษณะอย่างไร? Future Trends จะพาไปสำรวจในประเด็นต่างๆ พร้อมๆ กัน
แม้หลายคนจะมองว่า การไปคอนเสิร์ตไม่ใช่กิจกรรมที่ต้องใช้เงินอะไรมากมาย แค่ลงทุนกับที่นั่งที่พึงพอใจก็พอแล้ว แต่ในความเป็นจริง คอนเสิร์ตกลับเป็นสถานที่ที่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝงอยู่มากมาย และหากประเมินมูลค่าออกมาเป็นตัวเลข อาจจะเทียบเท่าการไปทริปต่างจังหวัด 3 วัน 2 คืนก็เป็นได้
โดยค่าใช้จ่ายแอบแฝงที่มาพร้อมกับการไปคอนเสิร์ต จะมาในรูปแบบของค่ารถโดยสารไป-กลับ ค่าที่พักสำหรับคนที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด ค่าอาหารแต่ละมื้อ ค่าของที่ระลึก และค่าใช้จ่ายจิปาถะอีกมากมาย เมื่อไล่เรียงค่าใช้จ่ายเหล่านี้อย่างละเอียด อาจจะมีมูลค่าเท่ากับบัตรคอนเสิร์ต 1-2 ใบเลยทีเดียว
ข้อมูลจาก Oxford Economics และ Munich Personal RePEc Archive (MPRA) ชี้ตรงกันว่า คอนเสิร์ตมีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2019 ธุรกิจคอนเสิร์ตสามารถสร้างรายได้ในสหรัฐฯ มากถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องจะเติบโตไปพร้อมๆ กันแล้ว ยังทำให้เกิดการจ้างงานกว่า 9 แสนตำแหน่งอีกด้วย
ดังนั้น ยิ่งความต้องการในการจัดคอนเสิร์ตมากขึ้น ตัวเลขรายได้ในปี 2022 และ 2023 น่าจะมีแนวโน้มมากกว่าปี 2019 อย่างเห็นได้ชัด
Coachella เป็นตัวอย่างของคอนเสิร์ตที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างดี ข้อมูลในปี 2022 ระบุว่า มีผู้เข้าร่วมประมาณ 750,000 คน ราคาบัตรเริ่มต้นที่ 15,000 บาท เมื่อบวกลบคูณหารรายได้ของการจัดคอนเสิร์ต 1 ครั้ง คงไม่ต่ำกว่าหลักหมื่นล้านบาทแน่นอน และยังทำให้เมืองอินดิโอ รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เป็นสถานที่จัดงานเติบโต พร้อมทั้งได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินของผู้เข้าชมคอนเสิร์ต จนกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีอัตราการก่อสร้างเชิงพาณิชย์และการเริ่มต้นธุรกิจสูงขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงมีการคาดการณ์ว่า ในปี 2025 จะมีผู้อยู่อาศัยใหม่ย้ายเข้ามาในเมืองอินดิโออีกประมาณ 30,000 คน
“คอนเสิร์ต คือตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบสุดๆ”
‘มาย’ หญิงสาววัย 24 ปี ผู้หลงใหลวัฒนธรรม K-POP และมีประสบการณ์ชมคอนเสิร์ตทั้งในและต่างประเทศ เล่าให้ Future Trends ฟังเกี่ยวกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในฐานะ ‘ผู้ชมคอนเสิร์ต’ ที่มีหลากหลายมิติมากกว่าการซื้อบัตรคอนเสิร์ต เพื่อชมการแสดงของศิลปินคนโปรด
มายเริ่มไล่เรียงให้เราฟังตั้งแต่ขั้นตอนการกดบัตรที่นอกจากจะต้องแย่งชิงที่นั่งจำนวนน้อยนิดแล้ว ยังมีธุรกิจรับกดบัตรเข้ามาเติมเต็มความต้องการของแฟนคลับ รายได้ของธุรกิจประเภทนี้ คือค่าบริการที่บวกเพิ่มจากราคาบัตรคอนเสิร์ต หรือที่เรียกกันว่า ‘ค่ากดบัตร’ ยิ่งร้านไหนมีลูกค้าการันตี ‘ฝีมือ’ ในการช่วงชิงบัตรคอนเสิร์ต ‘แถวหน้า’ ยิ่งสามารถกำหนดค่าบริการได้สูงขึ้น
เมื่อได้บัตรคอนเสิร์ตตามที่ต้องการ ก็มาถึงการวางแผนเพื่อเตรียมตัวไปคอนเสิร์ต ไม่ว่าจะจองที่พัก จัดหารถรับส่ง และจัดเตรียมอุปกรณ์เชียร์ โดยเฉพาะ ‘แท่งไฟ’ ประจำวงที่มายบอกว่า “ของมันต้องมี” เพราะถ้าไม่มีจะ ‘เหงา’ มาก ยิ่งแฟนคลับคนอื่นใช้แท่งไฟเวอร์ชันล่าสุดที่มีลูกเล่นในการเชียร์มากขึ้น ยิ่งกระตุ้นให้เกิดความต้องการในตลาด ถือเป็น ‘อุปสงค์’ (Demand) ที่ไม่มีจุดสิ้นสุดสำหรับธุรกิจคอนเสิร์ต
นอกจากนี้ มายยังยกตัวอย่างวิธีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในรูปแบบอื่นๆ ที่เกิดมาเพื่อเติมเต็มความต้องการของแฟนคลับ เช่น ธุรกิจเช่ามือถือที่กำลังเติบโตบน Twitter, ธุรกิจรับฝากของ, โรงพิมพ์ขนาดเล็กสร้างรายได้จากวัฒนธรรมแจกของหน้าคอนเสิร์ต, ตลาดหน้าคอนเสิร์ตที่ต้องมีร้าน ‘ต็อกบกกี’ เจ้าประจำเดินสายไปทุกงาน เป็นต้น
ช่วงท้ายของการพูดคุย มายยังเปรียบเทียบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคอนเสิร์ตในไทยและเกาหลีใต้ให้เราฟัง แม้ภาพรวมจะมีส่วนที่คล้ายคลึงกันหลายมิติ และต่างกันตามความต้องการของตลาดบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ บริเวณโดยรอบของพื้นที่จัดคอนเสิร์ตในไทย จะเต็มไปด้วยโรงแรม ร้านอาหาร และศูนย์การค้า เพื่อแก้ปัญหาด้านการเดินทางที่เป็น ‘บั๊ก’ ขนาดใหญ่ของไทย ตรงข้ามกับเกาหลีใต้ที่พื้นที่จัดคอนเสิร์ตอยู่ติดสถานีรถไฟฟ้า ทำให้เดินทางสะดวกและไม่จำเป็นต้องมีที่พักตั้งอยู่ในละแวกนั้น
จะเห็นว่า บริบทของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยมีคอนเสิร์ตเป็นศูนย์กลางเกี่ยวข้องกับโครงสร้างผังเมืองและปัจจัยทางกายภาพของแต่ละประเทศด้วย
ปฏิเสธไม่ได้ว่า คอนเสิร์ตเป็นธุรกิจชิ้นโบว์แดงที่สร้างรายได้ให้วงการเพลงเป็นกอบเป็นกำ และในขณะเดียวกันก็เป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญที่ทำให้ ‘ผลผลิต’ ในอุตสาหกรรมอื่นเติบโต และมีอาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย
แต่เมื่อพูดกันอย่างตรงไปตรงมา สิ่งที่ทำให้เกิดขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและแผ่ขยายความเจริญอย่างแท้จริงไม่ใช่การจัดคอนเสิร์ตตามที่ต่างๆ กลับเป็นความต้องการของ ‘เรา’ ในฐานะผู้ชมคอนเสิร์ตต่างหากที่ผลักดันให้ทุกอย่างเกิดขึ้น
Sources: https://bit.ly/3ogdfBv