LOADING

Type to search

ไม่ใช่แค่ธุรกิจโต แต่ต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วย ถอดรหัสแนวคิด ‘3 Green Framework’ กระบวนการบ้านสีเขียวของ แสนสิริ

ไม่ใช่แค่ธุรกิจโต แต่ต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วย ถอดรหัสแนวคิด ‘3 Green Framework’ กระบวนการบ้านสีเขียวของ แสนสิริ
Share

หากเอ่ยถึงวิกฤตสิ่งแวดล้อม หลายๆ คนมักเข้าใจว่า มีสาเหตุมาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริง ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะวิกฤตสิ่งแวดล้อมสามารถเกิดจากเรื่องอื่นๆ ได้ด้วย

ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร หรือแม้กระทั่งการขยายตัวของเศรษฐกิจก็เช่นกัน

ซึ่งทุกวันนี้โลกของเรากำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด สวนทางกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร และการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ต้องอาศัยการใช้ทรัพยากรที่มากขึ้น ประกอบกับภาวะโลกร้อนที่เป็นผลมาจากกิจกรรมของมนุษย์อย่างเราๆ เช่น การเผาไหม้สิ่งก่อสร้าง และการเผาไหม้ของท่อไอเสีย

แสนสิริ ได้ตระหนักเห็นถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงมุ่งมั่นตั้งใจที่จะพัฒนาโครงการบ้าน และคอนโดให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน ผ่าน ‘Green Living Designed Home’ นวัตกรรมบ้านสีเขียวที่ช่วยประหยัดพลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ภายใต้กระบวนการสีเขียว ‘3 Green Framework’

แล้วกว่าจะมาเป็น Green Living Designed Home มีกระบวนการอะไรบ้าง และ แสนสิริใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างไร? บทความนี้ Future Trends จะพาทุกคนไปรู้จักกับ ‘3 Green Framework’ กระบวนการบ้านสีเขียวของอาณาจักร แสนสิริกัน

ลดคาร์บอน มุ่งสู่ Net Zero‘ Green Procurement’ การจัดจ้างสีเขียว

[ Green ที่ 1 – Green Procurement ]

เมื่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คือหนึ่งในต้นตอของภาวะโลกร้อน และวิกฤตสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเป็นก๊าซที่ทำให้เกิดการสะสมตัวของพลังงานความร้อน

ในการบรรเทาปัญหานี้ แสนสิริได้ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนผ่าน ‘Green Procurement หรือการจัดจ้างสีเขียว’ โดยหันมาใช้วัสดุคาร์บอนต่ำ เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ

ทั้งนี้วัสดุคาร์บอนต่ำที่นำมาใช้ทดแทนนั้นเป็นวัสดุที่ดี มีคุณภาพจากคู่ค้าที่ใส่ใจกระบวนการผลิตอย่างยั่งยืน โดยแสนสิริ มีการเลือกใช้ Green Product ในการสร้างบ้านไปแล้วกว่า 53 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งก็ยังมุ่งผลักดัน และสร้างมาตรฐานให้เกิด Green Product กับพาร์ตเนอร์กว่า 200 ราย ในทุกห่วงโซ่อุปทานตามแนวทางการจัดจ้างสีเขียวด้วย

สอดคล้องกับเป้าหมายของ แสนสิริ ที่ต้องการเป็น ‘องค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2050’

โดยมีเป้าหมายระยะสั้น และกลางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 20 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2025 (Scope 1 และ 2) และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 50 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2033 (Scope 1, 2 และ 3 )

ลดเวลา ลดฝุ่น ลดขยะ ลดคาร์บอน ‘Green Construction’ การก่อสร้างแบบเป็นมิตรกับโลก

[ Green ที่ 2 – Green Construction ]

ขึ้นชื่อว่า ‘ก่อสร้าง’ ยังไงก็ต้องส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ แสนสิริ จึงได้นำกระบวนการ ‘Green Construction หรือการก่อสร้างแบบเป็นมิตรกับโลก’ มาประยุกต์ใช้ผ่านนวัตกรรมยุคใหม่ที่จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นการนำนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างลดคาร์บอน ไฟเบอร์เฟนส์ (Fiber Fence) มาใช้แทนเหล็กเส้นที่ใช้ผลิตรั้วโครงการในปี 2023 กว่า 30 โครงการ ซึ่งมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีน้ำหนักเบากว่าเหล็กมากถึง 3 เท่า ขนส่งและตัดได้ง่าย ไม่มีประกายไฟ ตลอดจนมีความแข็งแรงทนทานที่มากกว่า และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 47 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เลยทีเดียว

อีกทั้งก็ยังมีการนำนวัตกรรม Fully Precast นวัตกรรมตัวเลือกการสร้างบ้านยุคใหม่ด้วยผนังคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป (Precast Concrete) จากโรงงงานรักษ์โลกของ แสนสิริ มาใช้แทนการก่ออิฐฉาบปูนแบบเดิมๆ

โดยข้อดีของนวัตกรรม Fully Precast นั่นก็คือการเป็นแผ่นสำเร็จรูปที่สามารถประกอบเป็นบ้านได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ช่วยลดระยะเวลาในการก่อสร้างลงได้ถึง 3 เดือน และยังทำให้ฝุ่นกับขยะจากไซต์ก่อสร้างลดลงเป็นจำนวนมากด้วย เรียกได้ว่า เป็นนวัตกรรมคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ทั้งสิ่งแวดล้อม และผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริงเลยก็ว่าได้

ล้ำไปอีกขั้นด้วยนวัตกรรมติดตั้ง และพลังงานทดแทน ‘Green Architecture & Design’ การออกแบบสีเขียว

[ Green ที่ 3 – Green Architecture & Design ]

นอกเหนือจากการจัดจ้างสีเขียว และการก่อสร้างแบบเป็นมิตรกับโลกแล้ว อีกหนึ่งกระบวนการที่ แสนสิริ ให้ความสำคัญ นั่นก็คือ ‘Green Architecture & Design หรือสถาปัตยกรรม และการออกแบบสีเขียว’

แสนสิริ ไม่เพียงแค่นำนวัตกรรมเข้ามาใช้ในการก่อสร้างเท่านั้น แต่ก็ยังนำมาประยุกต์ใช้กับการออกแบบตัวบ้าน Green Living Designed Home หรือนวัตกรรมบ้านสีเขียวที่เป็นมิตรต่อการใช้พลังงาน และยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยของลูกบ้านในเวลาเดียวกัน รวมไปถึงก็ยังมีการออกแบบที่ใช้ธรรมชาติให้เกิดประโยชน์ ผ่าน Natural-Based Design ตามภูมิทัศน์ ทั้งต้นไม้ ทิศทางของลม และแสงแดด ส่งผลให้บ้านเย็นขึ้นด้วย

โดยมีการนำนวัตกรรมการระบายอากาศ การลดความร้อน และอุณหภูมิในตัวบ้านมาปรับใช้ เพื่อลดการใช้พลังงานลง ซึ่งประกอบไปด้วยรายละเอียด ดังนี้

1. Green Glass – กระจกเขียวตัดแสงช่วยป้องกันการส่งต่อแสงสว่าง และความร้อน ส่งผลให้การอยู่อาศัยภายในบ้านเย็นมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศทั้งวันอีกต่อไป

2. UV Shield Paint – สีทาบ้านชนิดพิเศษที่มีความสามารถในการสะท้อนความร้อนจากแสงแดดออกจากตัวบ้าน และปรับอุณหภูมิภายในบ้านเย็นสบายขึ้น

3. Breeze Panel – ช่องลมระบายอากาศที่ประตู และหน้าต่าง ซึ่งช่วยให้บ้านปลอดโปร่ง และทำให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก

4. Roof Ventilation – ฝ้าชายคาแบบระบายอากาศที่ช่วยลดความร้อนใต้หลังคาบ้าน และทำให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก

5. Solar Panel – แผงโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งอยู่บนหลังคาบ้าน ช่วยเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้า โดยมีการออกแบบ Natural-Based Design ตามภูมิทัศน์ ทิศทางของต้นไม้ ลม และแสงแดด

6. Solar Lighting – นอกเหนือจากการใช้พลังงานโซลาร์บริเวณหลังคาบ้านแล้ว แสนสิริ ก็ยังนำมาใช้กับพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าด้วย โดยมีการติดตั้งบริเวณทางเดิน และถนนภายในโครงการ

7. Low Flow Sanitary – สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำภายในบ้าน และพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งนอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายแล้ว ก็ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับรายงานการพัฒนาทรัพยากรน้ำของโลก ปี 2021 โดยองค์การสหประชาชาติ (United Nations หรือ UN) ที่ระบุว่า ผู้คนกว่า 2 พันล้านคน ไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรน้ำได้โดยตรง น้ำจึงเปรียบเสมือนกับทองคำสีน้ำเงิน (Blue Gold) และโลกของของเรากำลังจะเผชิญกับภาวะขาดแคลนน้ำ 40 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2030

8. Electric Appliances – เปลี่ยนอุปกรณ์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านจากแบบธรรมดาเป็นแบบประหยัดพลังงาน เช่น เครื่องปรับอากาศระบบอินเวอเตอร์ (Inverter) ที่เย็นเร็ว และประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม

9. EV Charger – สถานีชาร์จไฟรถยนต์พลังงานไฟฟ้า พร้อมรองรับ Ecosystem ยานยนต์แห่งอนาคตอย่างเต็มที่

นอกจากนี้บ้านโครงการใหม่ทุกหลัง (Segment B) จากแสนสิริ จะได้รับการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ตั้งแต่รับมอบ เพื่อให้ทุกครัวเรือนได้นำพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดหรือพลังงานทดแทนมาใช้ได้อย่างทั่วถึง ให้บ้านทุกหลังเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน และโลกที่ได้รับการดูแลอย่างแท้จริงด้วย

สร้างวันนี้เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า แสนสิริ กับการขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทาง ‘ESG’

โดยจากความตั้งใจดี และการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งที่ผ่านมา ทำให้บ้านต้นแบบ Green Living Designed Home โครงการเศรษฐสิริ ราชพฤกษ์สาย 1 ช่วยประหยัดเงิน และลดคาร์บอนให้กับลูกบ้านได้มากมาย ดังนี้

👉🏻 เครื่องปรับอากาศระบบอินเวอเตอร์ช่วยให้ลูกบ้านแต่ละหลังในโครงการประหยัดเงินไปได้แล้วกว่า 11,011 บาทต่อปี และลดคาร์บอนได้มากถึง 1.37 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

👉🏻 Solar Panel ช่วยให้ลูกบ้านแต่ละหลังในโครงการประหยัดเงินไปได้แล้วกว่า 12,848 บาท และลดคาร์บอนได้ 1.60 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

รวมไปถึง Solar Battery และ Solar Light ก็ยังช่วยประหยัดเงิน และลดคาร์บอนในโครงการอื่นๆ อีกด้วย เห็นได้จาก Solar Battery ที่ช่วยประหยัดเงิน 800,000 บาทต่อปี และลดคาร์บอน 114 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี Solar Light ที่ช่วยประหยัดเงิน 178 บาทต่อปี และลดคาร์บอน 0.02 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

ในวันนี้ แสนสิริ ไม่เพียงผลิตบ้านที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างความยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ก็ยังดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบ ESG แนวคิดการพัฒนาองค์การอย่างยั่งยืนที่ให้ความสำคัญกับทุกภาคส่วน ทั้งลูกค้า พนักงาน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ทำให้ธุรกิจเติบโตมากกว่าเดิม แถมก็ยังช่วยให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้นด้วย

ลดคาร์บอน ลดฝุ่น ลดขยะ ลดเวลา ลดค่าใช้จ่าย ลดพลังงาน ไปกับ ‘Green Living Designed Home’ นวัตกรรมบ้านสีเขียว แสนสิริมุ่งสร้างวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเพื่อทุกคน