Type to search

เจาะเทรนด์ Wellnering ผ่านกรณีศึกษา The Commons

December 17, 2025 By Kim

เรากำลังอยู่ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีดิจิทัลทำให้การเชื่อมต่อไร้พรมแดนและง่ายดายที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เราสามารถเชื่อมต่อกับคนอีกซีกโลกได้ผ่านเครือข่าย หรือโซเชียลมีเดีย ทำลายกำแพงด้านการสื่อสารลง

แต่ในทางกลับกัน กลับมีการรายงานว่า ประชากรโลกกำลังรู้สึกถึงความโดดเดี่ยว และการแยกตัวทางสังคมสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวอีกต่อไป แต่ได้ยกระดับกลายเป็น “วิกฤตการณ์ทางสาธารณสุขและเศรษฐกิจ” ที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง

บทความนี้ Future Trends จะพาคุณเจาะลึกถึงเทรนด์ธุรกิจใหม่ ที่เกิดขึ้นจากความเหงา หรือที่ในระดับสากลเรียกเทรนด์นี้ว่า ‘The Loneliness Economy’ ที่กำลังก่อตัวขึ้น และเราจะพาผู้อ่านทุกคนไปถอดรหัสกรณีศึกษาของ ‘The Commons’ ที่ใช้วิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสในการสร้างชุมชนที่ยั่งยืนและตอบโจทย์เศรษฐกิจ

[ การเคลื่อนไหวแห่งความโดดเดี่ยว (The Dynamics of Loneliness) ]

เรากำลังเผชิญหน้ากับสภาวะที่เรียกว่า ‘The Paradox of Connected Loneliness’ หรือความย้อนแย้งของความโดดเดี่ยวในโลกที่เชื่อมต่อกัน ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยกระดับให้ความเหงาเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลกที่มีความต้องการในการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการว่าด้วยการเชื่อมโยงทางสังคมขึ้น เพื่อรับมือกับปัญหานี้โดยเฉพาะ ความน่ากลัวของความเหงาคือ มันมีผลกระทบต่อร่างกายรุนแรงเทียบเท่ากับการ “สูบบุหรี่วันละ 15 มวน” ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ ภาวะสมองเสื่อม และโรคหลอดเลือดสมอง

สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ‘แผลเป็นทางสังคม’ ที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 แม้โลกจะผ่านพ้นช่วงวิกฤตโรคระบาดมาแล้วหลายปี แต่ระดับความโดดเดี่ยวทั่วโลกในปี 2024 ยังคงสูงกว่าช่วงเวลาก่อนการระบาดถึง 26 จุดเปอร์เซ็นต์

ตัวเลขนี้บ่งบอกว่า โครงสร้างทางสังคมที่เคยยึดโยงผู้คนไว้ด้วยกันได้ถูกทำลายลง และยังไม่ได้รับการเยียวยาอย่างสมบูรณ์ รายงานจาก ‘Surgeon General’ ของสหรัฐอเมริกายังชี้ให้เห็นว่า จำนวนเพื่อนสนิทที่บุคคลหนึ่งสามารถมีได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรรายงานว่ามีเพื่อนสนิทเพียง 3 คนหรือน้อยกว่านั้น ซึ่งสะท้อนถึงการหดตัวของ ‘ตาข่ายทางสังคม’ (Social Safety Net) อย่างรุนแรง

นอกจากนี้ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ซ้ำเติมปัญหานี้ ข้อมูลจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (NIH) ระบุว่ากลุ่มที่มีรายได้ต่ำมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับความโดดเดี่ยวมากกว่ากลุ่มที่มีรายได้สูงถึงเกือบสองเท่า (264% ต่อ 156%) แสดงให้เห็นว่าความเหงาไม่ใช่แค่เรื่องของจิตใจ แต่เป็นภาพสะท้อนของความไม่เท่าเทียมในสังคม

[ บริบทประเทศไทย ความเหงาท่ามกลางฝูงชน (Crowded Loneliness) ]

เมื่อหันกลับมามองประเทศไทย ภายใต้ภาพลักษณ์ของ ‘สยามเมืองยิ้ม’ และวัฒนธรรมการรวมกลุ่มที่ดูเหมือนจะแข็งแรงดี แต่ข้อมูลเชิงลึกจาก Bangkok Post และ The Korea Herald กลับเปิดเผยผลสำรวจว่า “คนไทยกว่า 80% ยอมรับว่าตนเองประสบปัญหาความเหงา” โดยตัวเลขนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มคนวัยทำงานและผู้อาศัยในเขตเมืองใหญ่

ปรากฏการณ์ในกรุงเทพมหานครมีลักษณะเฉพาะตัวที่เรียกว่า ‘Crowded Loneliness’ หรือความเหงาท่ามกลางฝูงชน ซึ่งเกิดจากปัจจัยโครงสร้างเมืองและวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยความกดดัน

1️⃣ กับดักการอยู่อาศัยแนวตั้ง (Vertical Living Isolation)

การขยายตัวของคอนโดมิเนียมและที่พักอาศัยแนวตั้ง แม้จะตอบโจทย์เรื่องความสะดวกสบาย แต่กลับสร้างกำแพงกั้นผู้คนออกจากกัน เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันแทบไม่รู้จักกัน นำไปสู่การตัดขาดจากชุมชน

2️⃣ ต้นทุนทางเวลาและจิตใจ (Time & Psychological Costs)

ระบบขนส่งสาธารณะที่ยังไม่ครอบคลุมทั่วถึงและการจราจรที่ติดขัด ทำให้การเดินทางไปพบปะเพื่อนฝูงมีต้นทุนที่สูงมาก โดยในโซเชียลมีเดียอย่าง X มักจะมีผู้คนออกมาระบายความในใจต่อค่าเดินทางภายในเมือง ที่การเดินทางมาสยามแต่ละครั้งต้องเสียเงินให้กับค่าเดินทางไม่ต่ำกว่า 100 บาท ส่งผลให้การนัดเจอกันแต่ละครั้งต้องใช้พลังงานและการวางแผนมหาศาล ทำให้หลายคนเลือกที่จะเก็บตัวอยู่ห้องมากกว่า

3️⃣ แรงกดดันทางเศรษฐกิจ (Economic Pressure)

สภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนและหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น บีบให้คนวัยทำงานต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการทำงาน จนเหลือเวลาสำหรับการสร้างความสัมพันธ์น้อยลงเรื่อยๆ และนำไปสู่ภาวะหมดไฟ และความรู้สึกแปลกแยกจากสังคม

ในส่วนของแนวโน้มผู้บริโภคไทยในปี 2024-2025 จะถูกขับเคลื่อนด้วยแรงปรารถนาที่ขัดแย้งกันสองประการ คือ ความต้องการความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย เนื่องจากความกังวลเรื่องโรคระบาดและความไม่แน่นอน แต่ในขณะเดียวกันก็มีความโหยหาการเชื่อมโยงที่ลึกซึ้ง เพื่อมาชดเชยความสัมพันธ์ที่ฉาบฉวยในโลกดิจิทัล

[ นำไปสู่เทรนด์ Social Wellness และ Relational Fitness ]

เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตความเหงา อุตสาหกรรมสุขภาพกำลังเกิดการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ธุรกิจมักมุ่งเน้นไปที่ ‘Me-centric Wellness’ หรือการดูแลตนเอง เช่น การเข้าสปาเพื่อผ่อนคลาย การฝึกสมาธิคนเดียว หรือการใช้อุปกรณ์ Gadget ติดตามสุขภาพส่วนตัว

แต่ในปี 2024-2025 อุตสาหกรรมได้เปลี่ยนไปสู่ ‘Social Wellness’ หรือสุขภาวะทางสังคม ซึ่งให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในฐานะรากฐานของสุขภาพที่ดี ผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงภาวะ ‘The De-commodification of Self-Care’ คือความเข้าใจว่าการใช้เงินซื้อสินค้าและบริการเพื่อปรนเปรอตัวเอง ไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างทางจิตวิญญาณที่เกิดจากการขาดคนรอบข้างได้

เทรนด์ที่กำลังมาแรงที่สุดตามรายงานของ Global Wellness Summit คือ ‘Wellness + Gathering = Wellnering’ ซึ่งเป็นการพัฒนาพื้นที่และประสบการณ์ที่ดึงผู้คนให้ออกมาเจอกันในชีวิตจริง รูปแบบการบำบัดจึงเปลี่ยนจากห้องส่วนตัว ไปสู่พื้นที่ส่วนรวม

แนวคิดที่น่าสนใจและเป็นรูปธรรมที่สุดในเทรนด์นี้คือ ‘Relational Fitness’ แนวคิดนี้มองว่าทักษะทางสังคมและความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งนั้น เปรียบเสมือน ‘กล้ามเนื้อ’ ที่ต้องได้รับการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ หากเราไม่ได้ใช้นานๆ กล้ามเนื้อนี้ก็จะฝ่อลีบไป

ธุรกิจยุคใหม่จึงต้องทำหน้าที่เป็นเสมือน ‘ยิม’ ทางสังคม ที่นำเสนอกิจกรรมช่วยละลายพฤติกรรม และสอนทักษะการฟังอย่างลึกซึ้ง เพื่อช่วยให้ผู้คนก้าวข้ามความเขินอายและเริ่มบทสนทนาได้

ในบริบทของไทย เทรนด์นี้สอดคล้องกับการที่ผู้บริโภคเริ่มมองหา ‘เผ่า’ (Tribes) หรือชุมชนที่มีความสนใจเฉพาะทางร่วมกัน เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง ที่เหนียวแน่นกว่าความสัมพันธ์ในที่ทำงานหรือครอบครัวแบบดั้งเดิมที่กำลังเลือนหายไป

[ The Commons กรณีศึกษาต้นแบบพื้นที่เยียวยาสังคม ]

ท่ามกลางกระแสแห่งความเหงาและการแสวงหาพื้นที่ทางสังคม แบรนด์ไทยที่สามารถตีโจทย์และสร้างสรรค์หาทางออกได้ดี คือ The Commons ได้รับการยอมรับในฐานะกรณีศึกษาต้นแบบของการเปลี่ยนผ่านจาก ‘Community Mall’ ทั่วไป สู่การเป็น ‘Community Centre’

หัวใจแห่งความสำเร็จของ The Commons ไม่ได้อยู่ที่การเป็นศูนย์การค้า แต่อยู่ที่วิสัยทัศน์ที่ยึดมั่นในปรัชญา “Building a community first, then a mall” ซึ่งสะท้อนออกมาผ่าน 3 มิติหลัก ได้แก่ สถาปัตยกรรม กิจกรรม และโมเดลธุรกิจ

1️⃣ สถาปัตยกรรมแห่งความเกื้อกูล

The Commons ไม่ได้มองงานสถาปัตยกรรมเป็นเพียงสิ่งปลูกสร้างสวยงาม แต่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและความรู้สึกของผู้คน ซึ่งมีกลยุทธ์ดังนี้

– Vertical Courtyard และการทลายเส้นแบ่ง: แทนที่จะสร้างอาคารปิดทึบติดแอร์เหมือนห้างสรรพสินค้าทั่วไป The Commons เลือกใช้แนวคิด Vertical Courtyard หรือชานบ้านแนวตั้งที่เปิดโล่งเชื่อมต่อพื้นที่แต่ละชั้นด้วยบันไดขนาดใหญ่ และแนวคิด The Ground ที่มีลักษณะเหมือนภูเขาไล่ระดับ

– ความโปร่งใสทางสายตา: การออกแบบให้พื้นที่เปิดโล่งทำให้เกิด Visual Connectivity ผู้คนที่นั่งอยู่ชั้นบนสามารถมองเห็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นชั้นล่าง และคนที่เดินผ่านไปมาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานของฝูงชน การมองเห็นกันและกันนี้ทำหน้าที่เป็น ‘คำเชิญทางจิตวิทยา’ เพราะช่วยให้คนที่มาคนเดียวรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ลดความรู้สึกโดดเดี่ยวและความประหม่าในการเข้าพื้นที่

– ความสบายและบรรยากาศ: การใช้พัดลมยักษ์ และการออกแบบทิศทางลมธรรมชาติ ช่วยให้พื้นที่ Open-air สามารถใช้งานได้จริงในอากาศร้อนของกรุงเทพ สิ่งที่ได้ตามมาคือบรรยากาศที่ผ่อนคลาย

2️⃣ จากพื้นที่สู่กิจกรรม กลไกการสร้างความสัมพันธ์

พื้นที่ทางกายภาพที่ดีเป็นเพียง ‘Hardware’ แต่สิ่งที่ทำให้ The Commons มีชีวิตคือ ‘Software’ หรือกิจกรรมที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดี เพื่อทำหน้าที่ Community Curator เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน

– The WHOLESOME Hobbies Club และ Booktroverts: กิจกรรมที่จับ Insight ของคนรุ่นใหม่ได้ดีที่สุดคือ ‘Booktroverts Series’ (Bookworms + Introverts) สำหรับคนรักการอ่านที่เก็บตัว กิจกรรมนี้แก้ปัญหา Pain Point ของ Introvert ที่อยากมีสังคมแต่ไม่ชอบปาร์ตี้ โดยใช้หนังสือเป็นสื่อกลางในการลดความประหม่า และแบ่งรอบเพื่อสร้าง Micro-community ที่ผู้คนรู้สึกปลอดภัยที่จะเริ่มบทสนทนา

– The Refugee Dinner: กิจกรรมนี้สะท้อนถึง Social Wellness และความเห็นอกเห็นใจ โดยร่วมมือกับองค์กรช่วยเหลือผู้ลี้ภัย เปิดพื้นที่ให้ผู้ลี้ภัยมาปรุงอาหารประจำชาติและเล่าเรื่องราวชีวิต สิ่งนี้เปลี่ยนมื้ออาหาร ให้กลายเป็นสะพานเชื่อมโยงความเป็นมนุษย์ ช่วยลดอคติทางสังคม และสร้างความเข้าใจระหว่างคนไทยกับกลุ่มคนที่มักถูกมองข้าม

– Family & Intergenerational Connection: พื้นที่ Play Yard และกิจกรรมครอบครัว ไม่ได้มีไว้แค่ให้เด็กเล่น แต่มีเป้าหมายเพื่อดึงดูดกลุ่มพ่อแม่รุ่นใหม่ที่มักประสบภาวะ ‘Parental Isolation’ หรือความโดดเดี่ยวจากการเลี้ยงลูก ให้มาพบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สร้างเครือข่ายสนับสนุนซึ่งกันและกัน

3️⃣ โมเดลธุรกิจและการให้คืนสู่สังคม

The Commons ยังมีโครงการ ‘Common Compassion’ ซึ่งเปลี่ยนจุดบริการน้ำดื่มให้เป็นจุดทำบุญ โดยทุกครั้งที่มีการเติมน้ำและบริจาค 20 บาท เงินจะถูกส่งต่อไปยังชุมชนท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีนโยบายการจ้างงานที่เปิดกว้าง นี่คือการพิสูจน์ว่า Third Place สามารถทำหน้าที่เป็นตาข่ายรองรับทางสังคมได้จริง

[ บทสรุป อนาคตของธุรกิจในยุคแห่งความเหงา ]

ปรากฏการณ์ของ The Loneliness Economy และการดำเนินธุรกิจของ The Commons ชี้ให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกธุรกิจและสังคม ในขณะที่โลกปี 2025 กำลังก้าวเข้าสู่ยุค AI และ Virtual Reality อย่างเต็มรูปแบบ สิ่งที่มนุษย์โหยหาที่สุดกลับไม่ใช่เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย แต่เป็นพื้นที่แห่งความเป็นไปได้ที่อนุญาตให้พวกเขาได้สบตา พูดคุย และแบ่งปันความเป็นมนุษย์ร่วมกันในโลกความเป็นจริง

กรณีศึกษานี้สอนเราว่า การแก้ปัญหาความเหงาไม่ใช่แค่หน้าที่ของจิตแพทย์ แต่เป็นหน้าที่ของนักออกแบบ นักธุรกิจ และนักพัฒนาเมือง ที่สามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมขึ้นมาใหม่ได้ การสร้าง Third Place ที่ดีไม่ใช่การสร้างพื้นที่ที่สะดวกสบายที่สุด แต่คือการสร้างพื้นที่ที่มีแรงเสียดทานเชิงบวกเล็กน้อย เช่น การต้องเดินสวนกัน การต้องแบ่งโต๊ะนั่ง เพื่อให้มนุษย์ได้มีโอกาสกลับมาเชื่อมโยงกันอีกครั้ง

หากเปรียบโลกโซเชียลมีเดียเป็นเหมือน ‘ขนมขบเคี้ยว’ ที่ให้ความอร่อยรวดเร็วแต่ไม่อิ่มท้องและขาดสารอาหาร พื้นที่แบบ The Commons และเทรนด์ Social Wellness ก็เปรียบเหมือนอาหารมื้อหลักที่ปรุงสุกใหม่บนโต๊ะอาหาร ซึ่งอาจต้องใช้ความพยายามในการเดินทางมากินและใช้เวลาในการละเลียดรสชาติ

แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือคุณค่าทางโภชนาการทางใจที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน และนี่คือหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจในยุคเศรษฐกิจความเหงา การเปลี่ยนคนแปลกหน้าให้กลายเป็นเพื่อนบ้าน และเปลี่ยนเมืองที่โดดเดี่ยวให้กลายเป็นชุมชนที่เกื้อกูลกันอย่างแท้จริง

เขียนโดย ธนพนธ์ หัสกรรัตน์

Sources: WHO – Social connection linked to improved health and reduced risk of early death : https://wwwwhoint/news/item/30-06-2025-social-connection-linked-to-improved-heath-and-reduced-risk-of-early-death

Bangkok Post – The cost of disconnection : https://wwwbangkokpostcom/life/social-and-lifestyle/3129645/the-cost-of-disconnection

NIH – Global Trends and Disparities in Social Isolation : https://pmcncbinlmnihgov/articles/PMC12439063/

HHS –  Our Epidemic of Loneliness and Isolation : https://wwwhhsgov/sites/default/files/surgeon-general-social-connection-advisorypdf

The Korea Herald – Survey reveals 83 percent of Thais feel lonely, office workers most affected : https://wwwkoreaheraldcom/article/10591659

Global Wellness Summit – Wellness + Gathering: Wellness Comes for the Loneliness Epidemic : https://wwwglobalwellnesssummitcom/wellness-and-gathering-wellness-comes-for-the-loneliness-epidemic/

Eat Ventures – The shift towards the “wellness economy” in Southeast Asia’s consumer : https://eastvc/news/insights/wellness-economy-in-southeast-asia-consumer

theCOMMONs : https://wwwthecommonsbkkcom/

Lifestyle Asia – How to Succeed: Vicharee Vichit-Vadakan on theCOMMONS, Bangkok’s most successful community space : https://wwwlifestyleasiacom/bk/culture/people/how-to-succeed-vicharee-vichit-vadakan-on-thecommons-bangkoks-most-successful-community-space/

Living Asean – The Commons / It’s Anything But Common : https://livingaseancom/culture/design/commons-anything-common/

A As Architecture – 

The Commons by Department of Architecture : https://wwwyoutubecom/watch?v=grDdsADXyI8

Property Guru – Heritage and modernity collide in this hip Bangkok community mall : https://wwwasiapropertyawardscom/en/the-commons-bangkok/

theWHOLESOME Hobbies Club: Booktroverts Series : https://wwwthecommonsbkkcom/thonglor/events/677b78e6a953fc227e3deaaa

BK Magazine – The Commons’ co-founder dishes on her new community space : https://wwwbkmagazinecom/city-living/commons-co-founder-dishes-her-new-community-space/

TCDC – Trends 2026 Maze of Echoes : https://articletcdcorth/uploads/file/ebook/2568/11/desktop_th/EbookFile_35030_1763090469pdf?fbclid=IwY2xjawOcDcBleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFRRXZxYzJxVWM0MTVETUl0c3J0YwZhcHBfaWQQMjIyMDM5MTc4ODIwMDg5MgABHlt7YwTIVleL1qyH4aNrp6UtBCo3a6JQa9ecH0leW1xCokYPfvI4j0LAvEMY_aem_VsK57NQPS7jPQ3gHA0-W7A