“ถ้าผมบอกว่า ‘บิด-ชิมครีม-จุ่มนม’ คุณจะนึกถึงอะไร?”
ขอเดาว่า…คุณกำลังนึกถึง Oreo อยู่ใช่ไหม?
นั่นแหละ! คือพลังของแบรนด์ที่สร้าง Ritual จนกลายเป็นอัตลักษณ์
มันมีไม่กี่แบรนด์บทโลกหรอกนะที่สามารถทำให้ผู้คนมีวิธีกินที่เหมือนกันได้ แต่ Oreo ก็สามารถทำให้คุณบิด ชิมครีม จุ่มนม ได้เหมือนกันทั้งโลก
วันนี้ Future Trends จะพามาดูเบื้องหลังของความสำเร็จนี้ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย แต่เกิดจากการตลาดที่ฉลาดล้ำสุดๆ มาดูกันว่า Oreo ใช้กลยุทธ์อะไรบ้างเพื่อทำให้ ‘บิด-ชิมครีม-จุ่มนม’ กลายเป็นมากกว่าสโลแกน แต่เป็น ‘วัฒนธรรมการกิน’ ที่ฝังแน่นอยู่ในใจผู้คน
[ 🎭 1. Ritual Marketing เปลี่ยนการกินให้เป็น ‘พิธีกรรม’ ]
ลองนึกภาพ… เด็กคนหนึ่งถือ Oreo อยู่ในมือ มันไม่ได้เป็นแค่คุกกี้ แต่เป็นเกมเล็กๆ ที่ทำให้เขาตื่นเต้น เขาบิดมันออก… เห็นครีมสีขาวอยู่ตรงกลาง เขาชิมครีมก่อน แล้วก็จุ่มคุกกี้ลงในแก้วนม
หากนี่เป็นเพียงพฤติกรรมของเด็กคนหนึ่ง มันคงไม่พิเศษอะไร แต่ Oreo สามารถทำให้คนทั้งโลกกินแบบนี้ได้ นั่นคือ Ritual Marketing
🔹 เพราะอะไร Ritual Marketing ถึงได้ผล?
– พฤติกรรมที่ทำซ้ำได้ง่าย ไม่ต้องสอนมาก คนเห็นก็ทำตามเอง
– สร้าง Emotional Connection มันไม่ใช่แค่การกิน แต่เป็น ‘กิจกรรมที่มีความหมาย’ โดยเฉพาะในครอบครัว
– คนอยากเลียนแบบ เวลาคนอื่นทำแล้วสนุก มันก็จะเป็นธรรมชาติที่เราอยากจะทำตาม
และเมื่อ Ritual นี้เกิดขึ้นบ่อยๆ… มันก็กลายเป็น Norm และวิธีการกิน Oreo ที่ถูกต้องนับแต่นั้นมาเรื่อยๆ โดยที่ทุกวันนี้เรายังบิด ชิมครีม จุ่มนมกันอยู่เลย แถมยังมีวิธีการกินที่แอดวานซ์ขึ้นอย่างการเอาส้อมจิ้มครีมและจุ่มนม เพราะอยากใช้นมชุ่มไปทั่วทั้งชิ้น
[ 🚀 2. ไวรัลไม่ใช่เรื่องบังเอิญ Oreo เล่นกับวัฒนธรรมและกระแสโลก ]
Oreo ไม่เคยปล่อยให้แบรนด์อยู่นิ่ง พวกเขารู้ว่าถ้าสโลแกนจะติดตลาด ต้องทำให้มันกลายเป็นไวรัล
🔥 Oreo กับโซเชียลมีเดีย ทำให้คนเข้าถึงแบรนด์
📌 Super Bowl 2013 – “You Can Still Dunk in the Dark”
– ขณะที่ไฟสนามดับในเกม Super Bowl โอรีโอใช้โอกาสนี้ โพสต์ภาพ Oreo จุ่มนมในความมืด พร้อมแคปชัน “You Can Still Dunk in the Dark”
– ทวีตนี้ไวรัลถล่มทลาย และกลายเป็นตัวอย่างของ Real-Time Marketing ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์
[ 🛒 3. การสร้างสินค้าใหม่ = ให้คนพูดถึงซ้ำๆ ]
ถ้า Oreo มีแค่สูตรเดิม มันอาจจะกลายเป็นของธรรมดาที่คนเลิกสนใจไปแล้ว แต่พวกเขา เข้าใจหลักการตลาดของ ‘การสร้างความสดใหม่’ ทำให้ต้องมีการพัฒนารสชาติใหม่ๆ ขึ้นมา
🍪 Oreo รสชาติใหม่ๆ ที่ทำให้คนต้องกลับมาลอง
– Red Velvet
– Matcha Green Tea
– Birthday Cake
– Peanut Butter
✨ Oreo x Supreme / Oreo x Pokémon
– Oreo ทำให้ตัวเองไม่ได้เป็นเป็นคุกกี้ แต่เป็นสินค้าแฟชั่นและของสะสม
– ด้วยการจับมือกับ Supreme ทำให้ Oreo ขายหมดภายในไม่กี่นาที
– แคมเปญ Pokémon ทำให้คนต้องลุ้นว่าคุกกี้ในซองจะมีตัวละครอะไร (ทางฝั่งประเทศไทยเองก็มีการปั่นราคาโปเกมอนตัวหายากมากมาย เช่น มิว)
[ 💡 4. โฆษณาที่ทำให้ Oreo = ความอบอุ่นในครอบครัว ]
🎬 แคมเปญ ‘Wonderfilled’
– แทนที่จะขายขนม Oreo ใช้เพลงและแอนิเมชันที่พูดถึงความมหัศจรรย์ของคุกกี้ ที่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
– “What if I gave an Oreo to you…?” คือแนวคิดของโฆษณาที่เชื่อมโยง Oreo กับความสุข
👨👩👧👦 ทำให้ Oreo เป็นสัญลักษณ์ของครอบครัว
– ทุกโฆษณาของ Oreo มักมีพ่อแม่ลูกกิน Oreo ด้วยกัน
– ทำให้ Oreo เป็นมากกว่าคุกกี้ แต่เป็นโมเมนต์ของความอบอุ่น
ซึ่งทุกแคมเปญล้วนต้องผ่านความเป็นตัวตนของแบรนด์และต้องผ่านการคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนจึงสามารถสร้างเป็นการตลาดที่สื่อสารได้ตรงจุด
📌 Oreo ทำให้ ‘บิด-ชิมครีม-จุ่มนม’ เป็นวัฒนธรรมได้อย่างไร?
✅ Oreo ไม่ได้ขายขนม แต่ขาย Ritual – ทำให้การกิน Oreo เป็นพิธีกรรมที่คนอยากทำตาม
✅ สร้างกระแสผ่านโซเชียลและไวรัลแคมเปญ
✅ ออกสินค้าใหม่เสมอ เพื่อให้คนกลับมาสนใจ – คนอาจจะลืมโฆษณา แต่จะไม่ลืมว่ามี Oreo รสชาติใหม่ให้ลอง
✅ เชื่อมโยงแบรนด์กับอารมณ์ของคน – Oreo ทำให้คนรู้สึกอบอุ่น สนุก และเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
📣 บทเรียนจาก Oreo สำหรับนักการตลาด
ถ้าคุณอยากสร้าง ‘สโลแกนที่คนจำได้ขึ้นใจ’ ไม่ใช่แค่พูดซ้ำๆ แต่ต้องทำให้มันกลายเป็นพฤติกรรมของผู้บริโภค
✨ ไม่ใช่แค่ขายของ แต่ต้องขาย ‘ประสบการณ์’
✨ ไม่ใช่แค่มีสโลแกน แต่ต้องทำให้มันเป็น ‘วัฒนธรรม’
✨ ไม่ใช่แค่โฆษณา แต่ต้องให้คน ‘มีส่วนร่วม’ กับแบรนด์
Oreo ทำให้ ‘บิด-ชิมครีม-จุ่มนม’ เป็นมากกว่าสโลแกน แล้วแบรนด์ของคุณล่ะ มีอะไรที่ทำให้คนจดจำได้แบบนั้นบ้าง? 🔥
เขียนโดย ธนพนธ์ หัสกรรัตน์