LOADING

Type to search

ช็อปในห้างหลบไป ช็อปใน Metaverse กำลังมา! : การปรับตัวของ Luxury Brands ในวันที่ลูกค้าไม่ได้มีแค่มนุษย์อีกต่อไป

ช็อปในห้างหลบไป ช็อปใน Metaverse กำลังมา! : การปรับตัวของ Luxury Brands ในวันที่ลูกค้าไม่ได้มีแค่มนุษย์อีกต่อไป
Share

ประเด็นด้านเทคโนโลยีสุดร้อนแรงที่ใครๆ ก็ต่างพูดถึงกันอยู่ในขณะนี้ คงหนีไม่พ้น ‘เมตาเวิร์ส (Metaverse)’ โลกเสมือนที่เข้ามายกระดับการใช้ชีวิตแบบเหนือจินตนาการ โดยที่ทุกคนสามารถสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ผ่านการทำสิ่งต่างๆ ในเมตาเวิร์ส ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำในชีวิตจริงมาก่อนก็เป็นได้!

การที่เมตาเวิร์สกลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงจนเป็นวงกว้างขนาดนี้ สาเหตุส่วนหนึ่งคงมาจากการที่มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก ‘เฟซบุ๊ก (Facebook)’ เป็น ‘เมตา (Meta)’
ในงาน ‘Facebook Connect 2021’ เพื่อมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเมตาเวิร์สให้เป็นบทใหม่ของการใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบเหนือระดับในอนาคต

ซึ่งก็แน่นอนว่า สามารถสร้างความฮือฮาและแรงกระเพื่อมในวงการเทคโนโลยีได้เป็นอย่างดี โดยกลุ่มคนในวงการไอที (IT) ต่างก็จับตามองกันว่า เมตาเวิร์สของเมตาจะประสบความสำเร็จและเติบโตไปในทิศทางใดได้บ้าง

ถ้าเมตาเวิร์สคือโลกใบหนึ่ง โลกใบนี้ก็จำเป็นที่จะต้องมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เพราะโลกที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ คงจะไม่ใช่โลกที่สมบูรณ์นัก

ดังนั้น การสร้าง ‘อวทาร์ (Avatar)’ ที่ถือว่าเป็นกลุ่มประชากรหลักในเมตาเวิร์สก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน

จริงๆ แล้วการสร้างอวทาร์ในเมตาเวิร์สนั้น ไม่ได้แตกต่างจากการสร้างตัวละครในเกมออนไลน์เท่าไรนัก เพราะเมื่อเวลาที่เราต้องการให้ตัวละครมีภาพลักษณ์โดดเด่น เราจะเลือกซื้อ ‘สกิน (skin)’ หรือชุดในสไตล์ต่างๆ มาใส่ให้กับตัวละครของเรา เพราะฉะนั้น การสร้างอวทาร์ให้มีความสมจริงและโดดเด่นจึงมีปัจจัยในด้านการออกแบบเสื้อผ้าและเครื่องประดับของอวทาร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

นี่จึงเป็นช่องว่างทางการตลาดที่ทำให้เหล่าแบรนด์หรู (Luxury Brands) มองเห็นโอกาสในการบุกตลาดใหม่ๆ และไม่รอช้าที่จะลองมาเป็นผู้เล่นในสนามนี้ทันที

แล้วการบุกตลาดเมตาเวิร์สจะสร้างผลดีมากกว่าการขายสินค้าในช็อปของแบรนด์อย่างไรได้บ้าง?

1. ไม่ต้องกังวลเรื่องการสต็อกสินค้าอีกต่อไป
โดยปกติแล้ว ทุกๆ แบรนด์จะประสบปัญหาเกี่ยวกับการผลิตสินค้าที่มากเกินความต้องการของผู้บริโภค ทำให้มีปัญหาด้านการจัดการสต็อก และต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บสินค้ามากเกินความจำเป็น มิหนำซ้ำ ยังต้องคิดหาทางระบายสินค้าในสต็อกที่ขายไม่ออก เมื่อจบซีซันการขายคอลเล็กชันนั้นๆ อีกด้วย

2. ทำกำไรจากการขายได้สูงขึ้น
เนื่องจากการผลิตเสื้อผ้าและเครื่องประดับเพื่อขายบนเมตาเวิร์ส ไม่ต้องมีการจัดซื้อวัตถุดิบ และจ้างแรงงานมาเพื่อทำการผลิตสินค้าออกมาเป็นชิ้นๆ ซึ่งช่วยให้แบรนด์สามารถลดต้นทุนการผลิตได้เป็นจำนวนมากเลยทีเดียว

3. แบรนด์สามารถนำสินค้าจากคอลเล็กชันเก่ามาขายได้อีกในรูปแบบดิจิทัล
แบรนด์หรูทุกแบรนด์ล้วนมีสินค้าที่เรียกได้ว่าเป็น ‘ตำนาน’ ของแต่ละแบรนด์อยู่แล้ว นี่จึงเป็นโอกาสดีที่แบรนด์จะกลับมาผลิตสินค้าเหล่านั้นในรูปแบบดิจิทัล และขายบนเมตาเวิร์สแทน

จากที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่า ตอนนี้เหล่าแบรนด์หรูต่างทยอยเข้ามาบุกตลาดเมตาเวิร์สกันแล้ว ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็มีสินค้าและการใช้งานเมตาเวิร์สเพื่อทำการตลาดในรูปแบบต่างๆ ที่น่าสนใจ โดยวันนี้เราจะนำสิ่งที่แต่ละแบรนด์ได้ทำมาเล่าให้ฟังทั้งหมด 3 แบรนด์ ได้แก่

1. กุชชี (Gucci)
กุชชีเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีความมุ่งมั่นกับการทำการตลาดบนเมตาเวิร์สเป็นอย่างมาก โดยล่าสุดแบรนด์ได้ซื้อที่ดินใน The Sandbox เพื่อเตรียมสร้างช็อปและขายคอลเล็กชันเสื้อผ้าตามธีมของเกม โดยก่อนหน้านี้ กุชชีได้ร่วมมือกับ Roblox ในการสร้างช็อปเสมือนที่มีชื่อว่า ‘The Gucci Garden’ ซึ่งการเปิดช็อปในครั้งนั้นก็ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี

2. ราล์ฟ ลอเรน (Ralph Lauren)
ราล์ฟ ลอเรนพัฒนาเกมในโลกเสมือนร่วมกับ Roblox โดยใช้ชื่อเกมว่า ‘The Ralph Lauren Winter Escape’ ซึ่งเป็นเกมที่จะพาอวทาร์ไปผจญภัยไปกับด่านต่างๆ ในเมืองหิมะสุดพิเศษ และความพิเศษของเกมนี้คือ ผู้เล่นสามารถเลือกซื้อหรือเก็บไอเทมชุดกีฬาที่ออกแบบตามสไตล์ของโปโล (Polo) มาเลือกใส่ให้อวทาร์ได้ตามใจชอบ

3. บาเลนเซียกา (Balenciaga)
บาเลนเซียกาจับมือกับเกม Fortnite ในการออกสกินใหม่สำหรับตัวละคร และสร้างร้านค้าจำลองในเกมเป็นครั้งแรก

นอกจากนี้ เมื่อช่วงปลายปี 2021 ที่ผ่านมา เซดริก ชาร์บิท (Cédric Charbit) ซีอีโอ (CEO) ของบาเลนเซียกาได้เผยว่า ตอนนี้ทางแบรนด์กำลังสร้างแผนกโลกเสมือน (The Virtual World) เพื่อรองรับการเติบโตของเมตาเวิร์สที่จะมีผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในอนาคต

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) บริษัทที่ให้บริการทางการเงินระดับโลก จากประเทศสหรัฐอเมริกา ยังคาดการณ์ด้วยว่าในปี 2030 ตลาดสินค้าแบรนด์เนมในโลกเสมือนจะสามารถทำเงินได้ถึง 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับว่าเป็นมูลค่าที่สูงมากเลยทีเดียว

Sources:

Tags::

You Might also Like