‘Eldercare Assistive Robots’ เทรนด์ที่โลกจับตามอง พลิกวิกฤตสังคมสูงวัยให้เป็นโอกาส กับการเติบโตกว่า 10.2 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2035

ปัจจุบัน โลกของเรากำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งที่ตามมานั้น คือเรื่องของ ‘วิกฤตการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์’ โดยเฉพาะพยาบาลผู้ดูแล
ข้อมูลจากสภาการพยาบาลเยอรมนีประเมินว่า ภายใน 10 ปีข้างหน้า เยอรมันเองอาจขาดแคลนบุคลากรผู้เชี่ยวชาญมากถึง 1 ล้านคน
ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปสูงถึงเกือบ 30% ก็กำลังเผชิญปัญหาแรงงานที่รุนแรงที่สุดอยู่เช่นกัน
ความท้าทายนี้ ได้ผลักดันให้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ ‘หุ่นยนต์’ กลายเป็นโซลูชันที่ยั่งยืน ตลาดหุ่นยนต์ผู้ช่วยดูแลผู้สูงอายุ (Eldercare Assistive Robots) จึงมีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด
จากมูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 คาดว่าจะพุ่งไปถึง 10.2 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2035 ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่สูงถึง 12.4%
การเติบโตนี้ไม่ได้เป็นเพียงการคาดการณ์ แต่คือปฏิกิริยาต่อวิกฤตแรงงาน และต้นทุนการดูแลสุขภาพที่สูงขึ้น โดยหุ่นยนต์และ AI กำลังจะเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นเพียงเครื่องมือ ไปสู่การเป็น ‘ผู้ช่วย’ ที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ทัน
Future Trends ขอพาทุกคนมาสำรวจ 4 กลยุทธ์ที่ AI และหุ่นยนต์กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงการดูแลผู้สูงอายุ และโอกาสทางธุรกิจที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก
🤖 [ 1. หุ่นยนต์ที่มีกว่า 65% คือหุ่นยนต์ช่วยงานหนัก (Physical Assist) ]
ตลาดหุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก โดยมีสัดส่วนที่ชัดเจน โดย หุ่นยนต์ช่วยงานทางกายภาพ (Physically Assistive Robots) นั้น ครองตลาดอยู่ถึง 65.0% ในปี 2025 ซึ่งความสามารถของหุ่นยนต์ประเภทนี้ จะเน้นไปที่การแก้ปัญหาความเหนื่อยล้าของบุคลากร
โดยประเทศญี่ปุ่น คือสังคมสูงวัยที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก ข้อมูลล่าสุดชี้ว่าตำแหน่งงานในภาคการพยาบาล มีอัตราส่วนการรับสมัครงานต่อผู้สมัครเพียง 1:4.25 ซึ่งย่ำแย่กว่าอัตราส่วนของประเทศโดยรวม (1:1.22) โดยผู้ประกอบการระบุว่า “เทคโนโลยีคือโอกาสที่ดีที่สุด” ที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เลวร้ายใน 10-15 ปีข้างหน้า
ยกตัวอย่างนวัตกรรมที่มีอย่าง หุ่นยนต์ดูแล AIREC ที่มาพร้อมกับน้ำหนัก 150 กิโลกรัม ถูกพัฒนาเพื่อทำภารกิจที่ใช้พละกำลังสูง เช่น การยก, การพลิกตัวผู้ป่วยบนเตียง (เพื่อเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือป้องกันแผลกดทับ), และการช่วยผู้สูงอายุลุกขึ้นนั่งหรือสวมถุงเท้า
การทำงานของหุ่นยนต์เหล่านี้ (เช่น AIREC) จะอาศัยการเรียนรู้จาก Deep Neural Networks เพื่อวิเคราะห์การเคลื่อนไหวและปรับแรงที่ใช้อย่างละเอียดอ่อน เพราะการดูแลผู้ป่วยจำเป็นต้องมีการปรับตัว ให้เข้ากับสรีระและสถานการณ์ของแต่ละบุคคล ซึ่งซับซ้อนกว่าหุ่นยนต์ในโรงงานอุตสาหกรรมมาก
🤖 [ 2. Social Robots การแก้ปัญหาความเหงาด้วย ‘Empathy-AI’ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ]
หุ่นยนต์เพื่อการสื่อสาร (Socially Assistive Robots) มีส่วนแบ่งตลาด 35.0% เข้ามาตอบโจทย์ความต้องการทางอารมณ์และจิตใจ
การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของ AI, IoT, และ Big Data ทำให้หุ่นยนต์ในอนาคตจะมีศักยภาพด้าน ความรู้, การรับรู้, และการสื่อสารที่แข็งแกร่งขึ้น โดยจะสามารถเข้าใจความต้องการและอารมณ์ของผู้สูงอายุได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้บริการที่เป็นมิตรต่อมนุษย์และเฉพาะบุคคล
ตัวอย่าง หุ่นยนต์ Navel (ราคาเกือบ 30,000 ยูโร) ถูกนำมาใช้งานจริงในบ้านพักคนชรา ผ่านการออกแบบให้มีรูปลักษณ์น่ารักแบบคล้ายมนุษย์ และใช้ AI ในการประมวลผลอารมณ์ สีหน้า และทิศทางการจ้องมองของคู่สนทนา เพื่อสร้างบทสนทนาที่ฟังดูเป็นธรรมชาติและเข้าอกเข้าใจมากที่สุด (Empathy)
🤖 [ 3. Home Care คือตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก (46.0%) ]
ความต้องการที่ใหญ่ที่สุดของตลาดหุ่นยนต์นี้ ไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาล แต่คือ ‘การดูแลที่บ้าน’ (Home Care/ Aging-in-Place) ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 46.0% ในปี 2025
ผู้สูงอายุส่วนมาก มีความต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย อย่างบ้านของตัวเองให้ได้นานที่สุด ดังนั้น ความต้องการหุ่นยนต์ประเภทนี้ จึงมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนการใช้ชีวิตอย่างอิสระ การเฝ้าระวังความปลอดภัย และการช่วยเตือนให้ทานยา ซึ่งช่วยลดภาระให้กับสมาชิกในครอบครัว
หุ่นยนต์ดินสอ (Dinsaw Robot) รุ่น Home AI Assistance เป็นวัตกรรมที่พัฒนาและผลิตโดยบริษัท CT Asia Robotics ซึ่งก่อตั้งโดยศิษย์เก่าของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นตัวอย่างของนวัตกรรมที่เข้ามาตอบโจทย์ Home Care ได้อย่างชัดเจน
หุ่นยนต์นี้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย 24 ชั่วโมง มีฟังก์ชันหลักในการ เฝ้าติดตามอาการ และ เชื่อมต่อโดยตรงกับโรงพยาบาล ในกรณีฉุกเฉิน
โดยสามารถวัดและส่งข้อมูลสุขภาพที่สำคัญ เช่น อุณหภูมิ, ความดันโลหิต, ระดับออกซิเจน, และ EKG ไปยังแท็บเล็ตของแพทย์ได้ทันที ทำให้แพทย์สามารถประเมินอาการ และให้คำแนะนำเบื้องต้นได้โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาล
.
นอกจากนี้ หุ่นยนต์ดินสอยังช่วยแก้ปัญหาความเหงา และสมองเสื่อมในระยะเริ่มต้น โดยการชวนทำกิจกรรม เช่น ฟังเพลง, เล่นเกมเพื่อฝึกความจำ (Memory Sharp), หรือให้ข้อคิดทางธรรมะได้อีกด้วย
🤖 [ 4. ภูมิภาคเอเชียคือผู้นำการเติบโตและมาตรฐานโลก ]
ตลาดหุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุกำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และประชากรสูงวัยจำนวนมาก เช่น
🇯🇵 ญี่ปุ่น เป็นผู้บุกเบิกตลาดมาตั้งแต่ปี 1970 และรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาหุ่นยนต์ดูแลอย่างจริงจัง AIREC คาดว่าจะพร้อมใช้งานประมาณปี 2030 ด้วยราคาสูงถึง 10 ล้านเยน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนและต้นทุนที่สูงในปัจจุบัน
🇨🇳 จีน ไม่ได้เป็นเพียงผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้นำในการกำหนดมาตรฐานโลก โดยล่าสุด คณะกรรมาธิการอิเล็กทรอนิกส์และเทคนิคระหว่างประเทศ (IEC) ได้ประกาศมาตรฐานสากลสำหรับหุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งจีนเป็นผู้นำในการจัดทำ
นอกจากนี้ยังมีโครงการนำร่องที่น่าสนใจ เช่น แพลตฟอร์มบริการอัจฉริยะ AI ของเมืองเทียนจิน ที่ใช้ AI และ Big Data ในการจัดการสุขภาพ, การติดตามส่วนตัว, และการสนับสนุนฉุกเฉิน ซึ่งเคยช่วยชีวิตผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยภาวะสมองขาดเลือดได้ทันท่วงที
🇮🇳 อินเดีย เติบโตสูงสุด นำโดยโครงการสุขภาพดิจิทัลภาครัฐ และความต้องการโซลูชัน Home Care
การเติบโตของตลาดหุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุสู่ 10.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2035 ไม่ใช่แค่การคาดการณ์ แต่คือปฏิกิริยาต่อวิกฤตที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ โดยองค์กรขนาดใหญ่อย่าง Toyota, Honda, และ SoftBank Robotics ต่างเข้ามาเป็นผู้เล่นหลักในตลาดนี้
แม้ว่าพยาบาลผู้ดูแล จะมองโลกของหุ่นยนต์ด้วยความหวังว่าจะมาช่วยปรับปรุงคุณภาพการดูแลให้ดีขึ้น แต่พวกเขาก็เชื่อว่าหุ่นยนต์ไม่สามารถเข้าใจทุกมิติของการดูแลได้อย่างสมบูรณ์
การสร้างหุ่นยนต์ที่เข้าใจความแตกต่างของมนุษย์ และเป็นโซลูชันที่ยั่งยืนในการช่วยแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญที่สุดในทศวรรษนี้
เรียบเรียงโดย ชนัญชิดา พลอยพลาย
#FutureTrends #FutureTrendsetter #FutureTrendsBusiness
Sources:
อนาคตของการดูแลผู้สูงอายุด้วยหุ่นยนต์ในจีน
https://thai.cri.cn/2025/05/19/ARTI1747620024809604