DITP Thai Music Meetup – Gan Bei นำร่องดนตรีไทยบุกไต้หวัน วางเป้าสร้างรายได้เข้าประเทศกว่าแสนล้าน โอกาสทองของตลาดไต้หวันจากกำลังซื้อที่เหนือกว่า

‘Thai Music Meetup – Gan Bei’ ปลุกเครือข่ายดนตรีไทย-ไต้หวัน สร้างปรากฏการณ์เจรจาธุรกิจทะลุ 763 ล้านบาท ตอกย้ำศักยภาพ Soft Power ไทยในเวทีโลก
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) สร้างความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในตลาดเอเชีย ที่ไทเป, เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 ผ่านการจัดงาน Thai Music Meetup – Gan Bei ณ Zepp New Taipei โดยมีเป้าหมายเพื่อนำเสนอศักยภาพของศิลปินและค่ายเพลงไทยสู่ตลาดต่างประเทศ พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายธุรกิจและความร่วมมือกับพันธมิตรไต้หวันอย่างเป็นรูปธรรม
งานดังกล่าวตอกย้ำถึงพลังของเศรษฐกิจสร้างสรรค์และศักยภาพของดนตรีไทยในเวทีระดับโลกอย่างชัดเจน ซึ่งความสำเร็จนี้ถูกวัดผลด้วยมูลค่าการเจรจาธุรกิจที่สูงถึงกว่า 763 ล้านบาท จากการรวมตัวของผู้ประกอบการดนตรีจากทั้งสองประเทศกว่า 150 ราย
การจัดกิจกรรมนี้ถือเป็นการตอบรับภารกิจสำคัญของกรมฯ ในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้เป็นเลขาของกลุ่มมิวสิกภายใต้คณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดนตรีเป็นธุรกิจที่ DITP ไม่เคยเข้ามาดูแลอย่างจริงจังมาก่อน แต่ภายใต้ภารกิจใหม่นี้ DITP มุ่งมั่นที่จะผลักดันกิจกรรมที่สามารถสนับสนุนภาคเอกชนในด้านดนตรี โดยมี KPI (Key Performance Indicator) ที่สำคัญที่สุดคือ การนำรายได้เข้าสู่ประเทศ
[DITP คือ ‘เพื่อนร่วมทีม’ เพื่อเชื่อมโยงวัฒนธรรมสู่การค้า]

นายทวีป ราชาภักดี ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาและส่งเสริมธุรกิจ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ให้เกียรติเป็นประธานในการเปิดงาน และได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน โดยเน้นย้ำถึงบทบาทอันเป็นเอกลักษณ์ของดนตรี ท่านกล่าวว่า
‘ดนตรีคือภาษาสากลที่ไม่ต้องการล่าม แต่สามารถเชื่อมโยงผู้คนต่างวัฒนธรรมให้เข้าใจกันได้ DITP ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้จัดงานเท่านั้น แต่ทำหน้าที่เป็น เพื่อนร่วมทีม ที่คอยหนุนหลังและเปิดประตูเชื่อมต่อกับพันธมิตรในต่างประเทศ เพื่อผลักดันให้ดนตรีไทยเป็นทั้งงานศิลปะและเป็น พลังเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่สามารถสร้างโอกาสทางการค้าได้จริง’
หลังพิธีเปิดงาน ยังมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐไทยในไต้หวันเข้าร่วมถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึก ซึ่งประกอบด้วย นางสาวศุภรา เพ็งศรีทอง Deputy Executive Director Thailand Trade and Economic Office, นางสาวกัลยา ลีวงค์เจริญ Director Thai Trade Office, Taipei, นายรัชตะ แคนยกุต Deputy Director Tourism Authority of Thailand, Taipei และนายพงษ์นรนิทร์ อุลศิ ตัวแทนภาครัฐอุตสาหกรรมดนตรีของไทย
[163 คู่เจรจา สร้างมูลค่า 763 ล้านบาท]
ไฮไลท์สำคัญที่สุดของงานคือ กิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างตัวแทนค่ายเพลงไทยและผู้ประกอบการดนตรีไต้หวัน ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสความร่วมมือและการขยายเครือข่ายทางธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม
งานในครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้านการจัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจ โดยมีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วม 12 ราย และผู้ประกอบการไต้หวัน 162 ราย รวมเป็น 163 คู่เจรจา มูลค่ารวมของการเจรจาพุ่งสูงถึง 763.05 ล้านบาท โดยสามารถสรุปผลการซื้อ-ขายที่เกิดขึ้นได้ดังนี้
1. ผลการซื้อ-ขายทันที (Immediate Sales) 8.52 ล้านบาท
2. คาดหวังมูลค่าซื้อ-ขายภายใน 1 ปี 218.33 ล้านบาท
3. คาดหวังมูลค่าซื้อ-ขายภายใน 2-5 ปี 536.2 ล้านบาท
เป็นที่น่าสังเกตว่า ตัวเลขมูลค่าทางธุรกิจนี้เป็นเพียงมูลค่าที่เกิดขึ้นในส่วนของอุตสาหกรรมดนตรีเท่านั้น ยังไม่รวมอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวเนื่อง เช่น การท่องเที่ยว สื่อ และความบันเทิง
เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการไทยระบุว่า กิจกรรมนี้ช่วยสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และเสนอแนะให้มีการจัดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพิจารณาขยายตลาดไปยังประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี ขณะที่ผู้ประกอบการไต้หวันยืนยันว่า เห็นศักยภาพของดนตรีไทยชัดเจน และมีแนวโน้มที่จะร่วมลง ทุนจริงในระยะเวลา 1–3 ปี
[ยุทธศาสตร์เลือกไต้หวัน ฐานแฟนคลับและกำลังซื้อสูง]
กิจกรรมนี้เกิดขึ้นจากความพยายามของ DITP ที่ต้องการหากิจกรรมที่สามารถนำเพลงไทยออกไปต่างประเทศและนำรายได้กลับมาสู่ประเทศ โดยมีการออกแบบงานให้ต้องมีทั้งการเจรจาธุรกิจแบบ B2B (Business to Business) ควบคู่ไปกับการโชว์เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของเพลงไทยว่ามีความพร้อมในการทำเงิน
แม้ว่าแผนเดิมจะเคยคิดว่าจะไปจัดที่อินโดนีเซีย แต่ภายหลังจากการหารือกับภาคเอกชนแล้ว ตลาดไต้หวันถูกมองว่ามีศักยภาพที่สามารถออกไปได้ทันที จุดเด่นของไต้หวันคือมีฐานแฟนเพจที่พอสมควร ในสื่อออนไลน์ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ไต้หวันมีกำลังซื้อมากกว่า ประเทศอื่น ๆ ที่ถูกพิจารณาด้วยซ้ำ ผู้ประกอบการที่มาเล่าให้ DITP ฟังยังยืนยันว่า กำลังซื้อในไต้หวันนั้นสูงกว่าอินโดนีเซีย (ซึ่งมีประชากร 280 ล้านคน) เนื่องจากกลุ่มคนฟังเพลงหรือกลุ่มที่เสพคอนเทนต์บันเทิงเป็นกลุ่มเฉพาะที่มีเงิน
การเลือกไต้หวันยังได้รับความช่วยเหลือที่ดีจากสำนักงาน DITP ในพื้นที่ รวมถึงความร่วมมือจากผู้ประกอบการไต้หวันและภาครัฐอย่าง TAICCA
[ความต่อเนื่องของ Soft Power และการเปลี่ยนบทบาทของ DITP]
โครงการ Thai Music Meetup – Gan Bei นี้เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจที่ DITP ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไม่มีผลกระทบต่อภารกิจนี้ เพราะเมื่อกิจกรรมเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจของกรมฯ แล้ว มันจะถูกบรรจุในแผนปฏิบัติการประจำปี และจะต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี
งานนี้ถือเป็นงานแรกในกลุ่มดนตรีที่ DITP เป็นผู้ริเริ่ม และหากงานนี้ประสบผลสำเร็จ รูปแบบนี้จะถูกนำไปประยุกต์ใช้ในตลาดอื่น ๆ ต่อไป DITP มีแผนที่จะนำรูปแบบความสำเร็จนี้ไปประยุกต์ใช้ในอินโดนีเซีย, ฮ่องกง, และญี่ปุ่น โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ตลาดเอเชียก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเดินทางสำหรับเอกชนไทยไปตลาดที่ไกลอย่างลาตินอเมริกานั้นสูง
DITP คาดหวังว่าในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทยจะสามารถจัดงานระดับโลกได้ โดยมีเป้าหมายที่จะสร้าง Music Festival ขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับที่กำลังจะเกิดขึ้นกับงาน Bangkok Film Festival ในเดือนตุลาคม และงาน GameCom หรือแม้แต่การดึงงานใหญ่ระดับโลกมาจัดที่ไทย เช่น Toy Fair ที่จะจัดที่ Central World เพื่อสร้าง IP ของคนไทยให้ดังในประเทศก่อนที่จะส่งออก

[ดนตรีและ ‘ความเป็นไทย’ คืออาวุธสำคัญของ Soft Power]
นอกจากความสำเร็จด้านตัวเลขแล้ว ในด้านการแสดง ศิลปินไทยได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากแฟนเพลงไต้หวัน โดยมีผู้เข้าร่วมชมอย่างล้นหลามเกินความคาดหมาย ซึ่งสะท้อนถึงพลังของดนตรีที่สามารถเชื่อมโยงผู้คนได้แม้จะต่างภาษา บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักและสร้างสรรค์ตลอดค่ำคืน
ชื่อของงาน Gan Bei มีความหมายว่า ชนแก้วให้สุด ดื่มให้หมด สื่อถึงการทุ่มเทเต็มพลังของศิลปินทุกคนในทุกโน้ต ทุกท่อนเพลง เพื่อส่งต่อความจริงใจและเชื่อมโยงหัวใจของผู้ฟัง
ศิลปินไทยที่ขึ้นเปิดเวทีคือ STGZ (Stargazer 2) ซึ่งนำวัฒนธรรมไทยมาตีความในรูปแบบร่วมสมัย แนวเพลง Electronic ผสานดนตรีพื้นบ้านอีสาน โดยใช้เครื่องดนตรี พิณ เพื่อสร้างเสียงที่แปลกใหม่และสะท้อนการเชื่อมต่อระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิมกับยุคดิจิทัล ตามมาด้วย UNTRYMAEW (อนัตรายแมว) วงดนตรีที่มาพร้อมพลังดนตรีสดใหม่ เน้นการผสมเสียงสังเคราะห์และบรรยากาศแปลกใหม่ ไม่ยึดติดกรอบแนวเพลงแบบดั้งเดิม
วงที่ทุกคนรอคอยคือ H3F ศิลปินรุ่นใหม่ที่ไต่อันดับขึ้นสู่เวทีสากล ด้วยสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ ผสมผสาน Funk, R&B, Soul และ Pop วง H3F ได้รับความนิยมทั้งในไทยและต่างประเทศ และเคยมีทัวร์ในหลายประเทศในเอเชีย การมาเล่นที่ไต้หวันในครั้งนี้จึงสะท้อนถึงกระแสตอบรับที่ขยายตัวในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง
งานปิดท้ายด้วยการแสดงจากวง SEIZER ศิลปินไต้หวันสาย Indie Rock/Alternative ที่ได้รับการสนับสนุนจาก TAICCA วงนี้ขึ้นชื่อเรื่องพลังงานล้นเวที มีจังหวะเร้าใจจนผู้ชมต้องลุกขึ้นมาโดดและเต้นตาม สร้างความคึกคักและสนุกสนานอย่างเต็มที่
ปัจจัยหลักที่ทำให้อุตสาหกรรมบันเทิงไทยแตกต่างจากที่อื่นคือ ตัวศิลปินเอง (The Artists) ซึ่งเป็นจุดได้เปรียบสำคัญ ความสามารถในการเข้าถึงตัวศิลปิน (Accessibility) และ ความเป็นไทย (Thai-ness) หรือความเฟรนด์ลี่ คือจุดขาย สิ่งเหล่านี้เป็น Soft Power ที่แท้จริง ที่มาจากการแสดงออกถึงวัฒนธรรมไทย ซึ่งประเทศอื่นไม่สามารถเลียนแบบได้ เช่นเดียวกับความสำเร็จของซีรีส์วาย (Y-series) ที่ไทยเป็นอันดับหนึ่งของภูมิภาค ด้วยเนื้อหาความรักแบบกุ๊กกิ๊กที่เข้าถึงง่ายและให้ความรักอย่างลึกซึ้ง
[ความท้าทายและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน]
แม้ความสำเร็จทางธุรกิจจะโดดเด่น แต่ DITP ยอมรับว่า ยังมีความท้าทายในด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะเรื่อง สถานที่จัดงาน (Venue) ในประเทศไทยที่อาจจะยังไม่เทียบเท่าต่างประเทศ แม้ว่าจะมีสถานที่จัดงานลักษณะนี้อยู่ 6-7 แห่ง แต่ก็ยังกระจุกตัวอยู่ในเมือง DITP ต้องการผลักดันให้เกิดงานใหญ่ในเมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่
ภาครัฐพร้อมสนับสนุนเต็มที่ โดยมีการดำเนินงานด้านกฎหมายเพื่อสนับสนุนการลงทุน เช่น การมีมาตรการ Rebate (เงินคืนภาษี) สำหรับภาพยนตร์และเกมที่มาถ่ายทำในไทย และมีแผนที่จะขยายมาตรการนี้ไปยังอุตสาหกรรมมิวสิกด้วยในอนาคต สิ่งนี้จะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาร่วมทุนหรือสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านสถานที่จัดงานในไทย
DITP ย้ำว่า ธุรกิจบริการ (รวมถึงดนตรี) เป็นธุรกิจที่มี มูลค่าสูงมาก ในอดีต DITP มุ่งเน้นการส่งออกสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ (Product) เป็นหลัก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่ได้หันมาจับธุรกิจบริการ พบว่าตัวเลขการสร้างรายได้สูงมาก
ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจภาพยนตร์ การไปร่วมงานระดับโลกอย่างคานส์หรืองานฮ่องกง สามารถสร้างมูลค่าการซื้อขายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อครั้ง แม้แต่ธุรกิจซอฟต์แวร์และโปรแกรม ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไม่ค่อยรู้ แต่คนไทยเก่งมาก โดยเคยพา 13 บริษัทไปไนจีเรียและอียิปต์ และสร้างรายได้กว่า 1,200 ล้านบาท ธุรกิจบริการ Soft Power ทั้งหมด (รวมถึง หนัง, ซีรีส์, เกม, IT Solution, AI) ถูกประเมินว่าสร้างรายได้รวมให้ประเทศต่อปี ไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท
สำหรับธุรกิจดนตรีนั้น รายได้ส่วนใหญ่มักจะมาจาก Royalty และการสตรีมมิ่งออนไลน์ ซึ่งทำให้การจัดเก็บตัวเลขมูลค่ามีความซับซ้อนกว่าสินค้า แต่มีการประเมินว่าซีรีส์วายเรื่องเดียวที่ขายผ่านแพลตฟอร์มโซเชียล อาจทำรายได้จากการ Subscription ได้ไม่ต่ำกว่า 8 ล้านบาทต่อเดือน
[เช็กความพร้อมสำหรับผู้ประกอบการดนตรีไทยที่ต้องการไปต่างประเทศ]
ในฐานะที่ DITP ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้ประกอบการไทยที่ต้องการไปต่างประเทศ ผู้ประกอบการดนตรีที่ต้องการความช่วยเหลือจาก DITP ควรมีคุณสมบัติดังนี้
1. มีประสบการณ์ในการไปแสดงในงานต่างประเทศ ไม่ว่าจะได้รับเชิญในลักษณะใดก็ตาม
2. มีการขายงานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีลูกค้าต่างประเทศติดตามอยู่แล้ว และมีการซื้อขายเกิดขึ้นจริง
3. มีความพร้อมด้านกำลังทรัพย์ ในส่วนที่ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบ เช่น ค่าตั๋วเครื่องบินและค่าที่พัก (DITP จะสนับสนุนในส่วนของสถานที่จัดงาน B2B และบางครั้งอาจรวมถึงการเช่ารถในประเทศที่ไกล)
งาน Thai Music Meetup – Gan Bei ครั้งนี้ได้รับการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนจาก เงินเหลือจ่ายของกรมฯ ประมาณ 5-6 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับสูงถึง 500 ล้านบาท ถือว่าเป็นการลงทุนที่ คุ้มทุนเกินกว่าที่คาดไว้มาก
[ความกังวลต่ออนาคตด้าน AI ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์]
ในด้านเทคโนโลยี ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของ AI โดยเฉพาะประเด็นที่ AI อาจเข้ามาแทนที่บทบาทของมนุษย์ เช่น นักแสดง หรือการผลิตโฆษณา
DITP รับทราบถึงความกังวลนี้ แต่ยอมรับว่ายังไม่มีแนวทางหรือทางออกที่ชัดเจนในระดับโลก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงอยู่ในช่วงของการติดตามทิศทางและกำลังหาแนวทางรับมือกับคลื่น AI ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยในอนาคต DITP ก็สนใจที่จะนำ AI เข้ามาใช้เพื่อวิเคราะห์ทิศทางและหาแนวทางสนับสนุนต่อไป อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ การสนับสนุนของกรมฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ AI ในอุตสาหกรรมดนตรียังไม่มีเป็นรูปธรรม
โดยสรุปแล้ว งาน Thai Music Meetup – Gan Bei จึงไม่ใช่แค่คอนเสิร์ต แต่คือ ก้าวสำคัญของการต่อยอด Soft Power ดนตรีไทยสู่ระดับนานาชาติ