Type to search

รู้จัก Overconfidence Bias และ Dunning-Kruger Effect เมื่อความ ‘มั่นใจเกินไป’ ย้อนมาทำร้ายตัวเอง

January 05, 2025 By Pakanut Tariyawong


คุณเคยสังเกตไหม ว่าทำไมบางครั้งคนที่เพิ่งเริ่มต้นเรียนรู้อะไรสักอย่างถึงดูมั่นใจมากกว่าผู้เชี่ยวชาญ หรือทำไมผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จหลายคนถึงพาองค์กรล้มเหลวเพราะความมั่นใจที่มากเกินไป นี่คือปรากฏการณ์ที่น่าสนใจที่เราเรียกว่า Overconfidence Bias หรืออาจจะพอคุ้นหูกับคำว่า “ภัยความมั่น”
.
ผลวิจัยจาก HEC Paris เผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า การตัดสินใจทางธุรกิจถึง 83% มาจากการประเมินที่มองโลกในแง่ดีเกินไปของผู้นำ โดยมักเกิดจากความเชื่อส่วนตัวและการคาดการณ์ผลลัพธ์ที่ดีเกินจริง
.
Dr. Mohammed Abdellaoui หนึ่งในผู้วิจัยอธิบายว่า Overconfidence เปรียบเสมือนการประเมินค่าตัวเองเกินจริงเมื่อเทียบกับมาตรฐานที่ควรจะเป็น และยังมีอีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า Overplacement คือการที่คนเรามองว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นทั้งในแง่ของผลงานและคุณสมบัติต่างๆ
.
Dr. Ozan Toy ผู้เชี่ยวชาญจาก Telapsychiatry ให้มุมมองเพิ่มเติมว่า Overconfidence Bias เกิดขึ้นเมื่อคนเราประเมินความสามารถ ความรู้ หรือการควบคุมสถานการณ์ของตัวเองสูงเกินความเป็นจริง สิ่งนี้มักเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันโดยที่เราไม่รู้ตัว
.
ลองนึกถึงสถานการณ์ที่คุ้นเคย เช่น การคิดว่าจะทำงานเสร็จทันเดดไลน์แน่นอน แต่สุดท้ายกลับส่งช้า การมั่นใจว่าจะสอบได้คะแนนดีแต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด หรือการวางแผนโครงการใหม่ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมแต่กลับพบอุปสรรคที่ไม่คาดคิด


[🔍 เข้าใจ Dunning-Kruger Effect ปรากฏการณ์ที่ทำให้เรามั่นใจเกินตัว]


เดวิด ดันนิง และ จัสติน ครูเกอร์ สองนักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ได้ค้นพบปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ เมื่อคนเราเริ่มเรียนรู้อะไรสักอย่างไปได้ระดับหนึ่ง ความมั่นใจจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าความรู้จะยังอยู่แค่ระดับผิวเผิน
.
เหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้คือ เมื่อเราเริ่มทำความเข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ เรายังไม่มีองค์ความรู้มากพอที่จะมองเห็นว่าเรายังไม่ได้เข้าใจทั้งหมด ความรู้ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยให้เราประเมินขอบเขตของสิ่งที่เราไม่รู้ได้อย่างถูกต้อง
.
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือในโลกการลงทุน เมื่อนักลงทุนหน้าใหม่เริ่มศึกษาตลาดหุ้นอย่างจริงจัง เรียนรู้การอ่านกราฟ และการคาดการณ์แนวโน้มต่างๆ พวกเขามักจะรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจตลาดเป็นอย่างดี จนบางครั้งกล้าที่จะทุ่มเงินลงทุนจำนวนมากด้วยความมั่นใจ ก่อนจะพบว่ายังมีปัจจัยอีกมากมายที่พวกเขายังไม่เคยรู้มาก่อน
.
ที่น่าสนใจคือ เมื่อคนเรามีความรู้และประสบการณ์มากขึ้น ความมั่นใจกลับลดลง นี่คือเหตุผลที่เราจะเห็นว่าผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงมักจะถ่อมตน พวกเขาเข้าใจดีว่ายังมีอีกมากที่ตัวเองไม่รู้ และพร้อมที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ
.
จุดเปลี่ยนสำคัญจะเกิดขึ้นเมื่อเรามีประสบการณ์และความรู้มากพอ ความมั่นใจจะค่อยๆ กลับมา แต่จะอยู่ในระดับที่พอดี ไม่สูงจนเกินไปเหมือนช่วงแรก เพราะเรามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากพอที่จะรู้ว่าอะไรที่เรารู้และไม่รู้ นี่คือจุดที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญที่แท้จริง
.
ปรากฏการณ์ Dunning-Kruger นี้ยังส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในระดับองค์กรด้วย เมื่อผู้นำหรือทีมงานมีความมั่นใจสูงเกินไปในช่วงแรกของการเรียนรู้หรือการทำโครงการใหม่ พวกเขาอาจตัดสินใจผิดพลาดเพราะประเมินสถานการณ์ไม่ครบถ้วน


[⚠️อันตรายที่ซ่อนอยู่: เมื่อความมั่นใจกลายเป็นจุดอ่อน]

.
จากการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญ พบว่าความมั่นใจที่มากเกินไปสามารถส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการตัดสินใจและความสำเร็จขององค์กร โดยเฉพาะในสภาวะที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน
.
Racheal Turner นักจิตวิทยาจาก Turning Point Counseling อธิบายว่า คนที่มีความมั่นใจสูงเกินไปมักจะต่อต้านการรับฟังความคิดเห็นหรือคำวิจารณ์จากผู้อื่น พวกเขามักเชื่อว่าตนเองมีความสามารถพิเศษที่เหนือกว่าคนอื่น ซึ่งความเชื่อนี้อาจไม่ตรงกับความเป็นจริง
.
ที่น่ากังวลยิ่งไปกว่านั้นคือ ความมั่นใจที่มากเกินไปมักจะทำให้เกิดการตัดสินใจที่มีความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น ดร. Harper อธิบายว่า “เมื่อเราประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินจริง มันเหมือนกับการเดินบนเชือกที่ปิดตา เรามักจะเสี่ยงโดยไม่จำเป็น ละเลยคำแนะนำที่สำคัญ หรือข้ามขั้นตอนการเตรียมการเพราะคิดว่าเราควบคุมทุกอย่างได้”
.
ในวงการแพทย์ ผลกระทบของความมั่นใจที่มากเกินไปอาจร้ายแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต งานวิจัยพบว่าแพทย์ประจำบ้านที่มีความมั่นใจสูงมากไม่ได้มีความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่มีความมั่นใจน้อยกว่า
.
ในโลกธุรกิจ ความมั่นใจที่มากเกินไปอาจนำไปสู่การควบรวมกิจการที่ล้มเหลว งานวิจัยชี้ว่า 70-90% ของการควบรวมกิจการไม่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทที่เข้าซื้อ โดยสาเหตุหลักมาจากความมั่นใจที่มากเกินไปของผู้บริหาร
.
Vikas Keshri ผู้อำนวยการคลินิกของ Bloom Clinical Care ยังชี้ให้เห็นว่าความมั่นใจที่มากเกินไปส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ด้วย “ไม่มีใครชอบทำงานกับคนที่มั่นใจเกินเหตุ โดยเฉพาะเมื่อความหยิ่งผยองนั้นไม่มีพื้นฐานรองรับ” นี่อาจเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Main Character Syndrome” ที่คนมองตัวเองเป็นตัวเอกและมองคนอื่นเป็นแค่ตัวประกอบ


[🌟 บทเรียนจากผู้นำระดับโลก เมื่อความมั่นใจและความถ่อมตนผสานกันอย่างลงตัว]


Piyush Gupta ผู้นำของ DBS Bank คือตัวอย่างที่โดดเด่นของการรักษาสมดุลระหว่างความมั่นใจกับความถ่อมตน ภายใต้การนำของเขา DBS Bank ได้รับการยกย่องให้เป็นธนาคารที่ดีที่สุดในโลกถึง 5 ปีติดต่อกัน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือวิธีการที่เขารักษาสมดุลระหว่างความสำเร็จกับการเรียนรู้
.
แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูง Gupta ไม่เคยลังเลที่จะพูดถึงความผิดพลาดในอดีต เขาเล่าถึงการขาดทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์ในอินเดีย ซึ่งมากกว่ากำไรที่บริษัททำได้ในทศวรรษ การลงทุนผิดพลาดในธุรกิจน้ำมันและก๊าซในสิงคโปร์ และความล้มเหลวของธนาคารดิจิทัลในอินเดียที่เปิดตัวด้วยความคาดหวังสูง
.
สิ่งที่ทำให้ Gupta แตกต่างคือการที่เขาไม่ปล่อยให้ความผิดพลาดเหล่านี้ทำให้ท้อแท้ แต่กลับใช้มันเป็นบทเรียนในการพัฒนา ภายในหนึ่งปีหลังจากความล้มเหลวของธนาคารดิจิทัลในอินเดีย เขาได้เปิดตัว digibank ในอินโดนีเซียที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยการนำเทคโนโลยี AI และระบบไบโอเมตริกที่ทันสมัยมาใช้
.
Gupta ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการมองความสำเร็จอย่างเป็นกลาง เขายอมรับว่าความสำเร็จในช่วงแรกของเขาส่วนหนึ่งมาจากโชค เมื่อจีนเปิดตลาดการเงินในปี 2010 ทำให้บริษัทจีนสามารถเข้าถึงตลาดการเงินในฮ่องกงและสิงคโปร์ได้ แม้ว่าการวางรากฐานที่ดีของเขาจะมีส่วนสำคัญ แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะให้เครดิตกับปัจจัยภายนอกที่เอื้ออำนวย
.
ที่สำคัญไปกว่านั้น Gupta ไม่เคยหยุดที่จะมองหาภัยคุกคามใหม่ๆ เมื่อเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับ Fintech และการเติบโตของ Ant Financial ของ Jack Ma เขาตระหนักว่านี่คือภัยคุกคามที่อาจทำลายธุรกิจธนาคารแบบดั้งเดิม แทนที่จะมั่นใจในความสำเร็จที่มี เขากลับนำ DBS เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้านเทคโนโลยี


[🎯 วิธีรักษาสมดุล ให้ความมั่นใจมาพร้อมกับความฉลาด]


การรักษาสมดุลของความมั่นใจเป็นทักษะสำคัญที่ผู้นำและผู้ประกอบการต้องพัฒนา Adam Grant ศาสตราจารย์จาก Wharton School ชี้ให้เห็นในหนังสือ Think Again ว่าทีมที่มีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์นวัตกรรมมากที่สุดไม่ได้นำโดยผู้นำที่มีแค่ความมั่นใจหรือความถ่อมตนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผู้นำที่มีทั้งสองคุณสมบัตินี้ในระดับสูง
.
George Paz อดีตผู้บริหารระดับสูง แบ่งปันคำแนะนำที่มีค่าที่สุดที่เขาเคยได้รับ: “สิ่งที่แย่ที่สุดที่คุณทำได้คือการเริ่มเชื่อข่าวที่เขียนถึงคุณ” หัวหน้าของเขาให้คำแนะนำนี้หลังจากปิดดีลที่ทำให้วอลล์สตรีทตื่นเต้น แทนที่จะลอยไปกับคำชื่นชม เขากลับเตือนให้มองถึงข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นเพื่อพัฒนาในดีลต่อไป
.
Carl Bass อดีต CEO ของ Autodesk เล่าถึงประสบการณ์ที่น่าสนใจ เมื่อเขาเพิ่งได้รับตำแหน่ง CEO เขาพูดติดตลกว่า “ผมกลายเป็นคนที่ตลกและฉลาดขึ้นมาทันที” แต่เขาเตือนว่าความสนใจที่ได้รับไม่ได้เกี่ยวกับตัวคุณ แต่เป็นเพราะตำแหน่ง เขาชอบนั่งรถไฟ BART ในซานฟรานซิสโกเพราะผู้โดยสารคนอื่นจะเบียดเขาเหมือนคนทั่วไป ต่างจากในออฟฟิศที่ทุกคนคอยเปิดประตูให้และโค้งคำนับ
.
วิธีการรักษาสมดุลของความมั่นใจที่ดีที่สุดคือการตระหนักถึงความผิดพลาดที่ผ่านมาและสิ่งที่ได้เรียนรู้จากมัน การเปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และการประเมินตนเองอย่างสม่ำเสมอ ดร. Harper แนะนำให้ท้าทายความเชื่อภายในของตัวเองด้วยการถามว่า “อะไรคือหลักฐานที่สนับสนุนและคัดค้านความเชื่อนี้” และรักษาสมดุลระหว่างความมั่นใจกับการตั้งข้อสงสัยอย่างมีเหตุผล



[🌱 สร้างความมั่นใจอย่างชาญฉลาด สู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน]


การดำเนินธุรกิจในยุคที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องอาศัยทั้งความมั่นใจและความระมัดระวัง ดร. Abdellaoui แนะนำว่าผู้นำควรแยกแยะให้ออกระหว่างความเชื่อส่วนตัวและทัศนคติของตนเอง เพื่อประเมินได้ว่ากำลังมีความมั่นใจมากเกินไปหรือไม่
.
การตัดสินใจทางธุรกิจที่สำคัญควรใช้วิธีการแบบนักวิทยาศาสตร์ นั่นคือการไม่เลือกข้อมูลเฉพาะที่สอดคล้องกับความเชื่อของตนเอง แต่ต้องพิจารณาข้อมูลทุกด้านอย่างเป็นกลาง แม้จะเป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะการจัดการกับความไม่แน่นอนไม่ใช่เรื่องธรรมชาติของมนุษย์
.
บทเรียนสำคัญจาก Piyush Gupta แห่ง DBS Bank แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จที่ยั่งยืนเกิดจากการผสมผสานระหว่างวิสัยทัศน์ที่กล้าและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง แม้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นธนาคารที่ดีที่สุดในโลก แต่เขาไม่เคยหยุดที่จะมองหาโอกาสในการพัฒนาและภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น
.
การสร้างความมั่นใจอย่างชาญฉลาดไม่ใช่การละทิ้งความมั่นใจทั้งหมด แต่เป็นการพัฒนาความมั่นใจที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และการเปิดใจรับมุมมองใหม่ๆ นี่คือสมดุลที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน
.
บิล เกตส์ เคยกล่าวไว้ว่า “ความสำเร็จเป็นครูที่แย่ มันทำให้คนฉลาดคิดว่าพวกเขาพ่ายแพ้ไม่ได้” คำพูดนี้เตือนใจให้เราระวังกับดักของความมั่นใจที่มากเกินไป โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังประสบความสำเร็จ
.
ในท้ายที่สุด การประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีความมั่นใจมากแค่ไหน แต่อยู่ที่ความสามารถในการรักษาสมดุลระหว่างความมั่นใจกับการเรียนรู้ การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และการเปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง นี่คือเส้นทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริง

Sources:
.
How the Overconfidence Bias Affects Your Actions – https://www.verywellmind.com/overconfidence-bias-8707133
.
How overconfidence can sabotage your career and your company – https://www.fastcompany.com/91219221/how-overconfidence-can-sabotage-your-career-and-your-company
.
https://www.facebook.com/photo/?fbid=692005469627254&set=a.630751835752618
.
Three Dangers Of Overconfident And Excessively Optimistic Leaders – https://www.forbes.com/sites/lindsaykohler/2024/03/24/three-dangers-of-overconfident-and-excessively-optimistic-leaders/ –