Type to search

“จากมือใหม่สู่มือโปร” 10 แอปพลิเคชันที่มาพร้อม AI ที่ช่วยให้การเรียนภาษาเป็นเรื่องง่าย ทั้งฟัง พูด อ่าน และเขียน

February 03, 2025 By chananchida.p

ปัจจุบัน การเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ นั้น ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหนังสือเล่มหนาหรือคอร์สเรียนราคาแพงอีกต่อไป เพราะ ‘แอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI’ ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนให้สนุก ง่าย และตอบโจทย์แต่ละบุคคลมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

ไม่ว่าจะฝึกพูดกับ AI ที่ทำหน้าที่เหมือนคู่สนทนาจริงๆ รับคำแนะนำที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความสามารถ จะเป็นมือใหม่ หรือเป็นคนที่อยากพัฒนาทักษะเฉพาะด้าน เช่น การออกเสียง การสนทนา หรือการเขียน ก็สามารถทำได้

วันนี้ Future Trends ขอแนะนำแอปพลิเคชันเรียนภาษาที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่จะช่วยให้เราก้าวข้ามอุปสรรคในการเรียนภาษา และทำให้การเรียนรู้เป็นเรื่องง่ายและสนุกกว่าเดิม

1. Shiken

Shiken เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลายและสมจริง ผ่านเทคโนโลยี AI โดยเหมาะสำหรับผู้เรียนที่ต้องการเครื่องมือแบบครบวงจร ทั้งการฝึกทักษะการสนทนา การทำแบบทดสอบ และการพัฒนาความเข้าใจภาษาต่างๆ ในเชิงลึก

ฟีเจอร์เด่น

– AI Roleplay

ระบบบทบาทสมมติที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถฝึกพูดในสถานการณ์จำลอง เช่น การสัมภาษณ์งาน การเดินทาง หรือแม้แต่การนำเสนองาน

– Real-Time Voice Translation

แปลภาษาและสนทนาแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น

– Personalized Learning Reports

ระบบจะสร้างรายงานที่วิเคราะห์พัฒนาการของผู้เรียน พร้อมแนะนำสิ่งที่ควรปรับปรุง

จุดเด่นเพิ่มเติม

แอปนี้ยังมีฟีเจอร์การเรียนรู้แบบ gamification ที่ช่วยเพิ่มแรงจูงใจ ทำให้การเรียนภาษาไม่น่าเบื่อ และยังสามารถใช้งานร่วมกับกลุ่มเพื่อนได้

2. Praktika

Praktika โดดเด่นด้วยการใช้ AI Generative Avatar ในการสร้างบทเรียนแบบอินเตอร์แอคทีฟ โดยผู้เรียนจะได้โต้ตอบกับอวาตาร์ที่ปรับแต่งได้ตามสถานการณ์ เช่น การพูดคุยเรื่องงาน การเดินทาง หรือการชอปปิง

ฟีเจอร์เด่น

– Dynamic AI Roleplay

จำลองสถานการณ์ที่ปรับได้ เช่น การสอบถามข้อมูลโรงแรม หรือการสั่งอาหารในร้าน

– Instant Feedback

ระบบ AI จะแนะนำคำตอบที่ถูกต้องในทันที เพื่อช่วยให้ผู้เรียนปรับปรุงการพูดและความเข้าใจ

– Progressive Hints

ระบบจะให้คำใบ้เมื่อคุณติดขัด ทำให้การเรียนไม่เครียดและสนุกมากขึ้น

จุดเด่นเพิ่มเติม

Praktika ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในเชิงธุรกิจ หรือผู้ที่ต้องการเตรียมตัวก่อนการประชุมกับชาวต่างชาติ

3. Speak

Speak เป็นแอปที่เน้นการช่วยพัฒนาทักษะการพูดและการออกเสียงให้ชัดเจนเหมือนเจ้าของภาษา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจในการสื่อสาร

ฟีเจอร์เด่น

– AI-Powered Feedback

ระบบจะวิเคราะห์การออกเสียงของคุณและให้คำแนะนำอย่างละเอียด

– Daily Speaking Challenges

มีการท้าทายให้ผู้เรียนพูดในหัวข้อที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความคล่องตัว

– Fluency Tracker

ระบบจะติดตามความก้าวหน้าในการพูด และแจ้งผลเป็นคะแนนเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนพัฒนาต่อ

จุดเด่นเพิ่มเติม

Speak ยังมีบทสนทนาเฉพาะด้าน เช่น ภาษาในวงการธุรกิจ เทคโนโลยี หรือแม้แต่การเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์

4. Duolingo

Duolingo เป็นแอปพลิเคชันเรียนภาษาที่เน้นการเรียนรู้แบบเกมิฟาย ทำให้ผู้เรียนรู้สึกสนุกเหมือนเล่นเกม พร้อมทั้งมีระบบรางวัลและแรงจูงใจในการพัฒนาทักษะ

ฟีเจอร์เด่น

– Bite-Sized Lessons

บทเรียนสั้นๆ ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ทำให้เหมาะกับผู้ที่มีเวลาจำกัด

– Gamification Features

มีระบบการสะสมแต้ม ปลดล็อกด่านใหม่ และแข่งขันกับเพื่อนๆ

– AI-Driven Conversations

ผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับ AI ในสถานการณ์จำลอง เช่น การสั่งกาแฟ หรือการจองโรงแรม

จุดเด่นเพิ่มเติม

Duolingo ยังเหมาะสำหรับผู้เรียนที่ต้องการลองหลายๆ ภาษา เพราะรองรับมากกว่า 30 ภาษา เช่น ฝรั่งเศส สเปน ญี่ปุ่น และอื่นๆ

5. Babbel

Babbel ออกแบบมาสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนภาษาเพื่อใช้ในสถานการณ์จริง เช่น การเดินทาง หรือการทำงาน โดยเน้นเนื้อหาที่ใช้งานได้จริง

ฟีเจอร์เด่น

– Real-World Conversations

บทเรียนที่เน้นคำศัพท์และสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน เช่น การซื้อของ หรือการพูดในงานสัมมนา

– AI Recommendations

ระบบ AI จะแนะนำบทเรียนที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียน

– Cultural Insights: เพิ่มความเข้าใจในวัฒนธรรมของภาษาที่เรียน

จุดเด่นเพิ่มเติม

Babbel ยังมีระบบการเรียนรู้ที่อิงกับหลักไวยากรณ์ ทำให้เหมาะสำหรับผู้เรียนที่ต้องการพัฒนาทักษะด้านการเขียนควบคู่ไปกับการพูด

6. TalkPal

TalkPal เป็นแอปที่เน้นการฝึกฝนการสนทนาในชีวิตจริง โดยใช้ AI ที่มีเสียงพูดเหมือนคนจริง

ฟีเจอร์เด่น

– Realistic Voice Simulations

ใช้เสียง AI ที่สมจริงช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกเหมือนกำลังพูดคุยกับคนจริง

– Situation-Based Lessons

เรียนรู้จากสถานการณ์จำลอง เช่น การขอข้อมูลในสนามบิน

– Interactive Dialogues

มีการโต้ตอบแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้เรียนสามารถฝึกพูดและฟังในเวลาเดียวกัน

จุดเด่นเพิ่มเติม

แอปนี้ยังช่วยพัฒนาทักษะการฟังด้วยการปรับสำเนียงและโทนเสียงของ AI

7. ChatGPT

ChatGPT เป็นเครื่องมือที่ยืดหยุ่นสำหรับผู้ที่ต้องการฝึกการสนทนาในสถานการณ์ต่างๆ โดยไม่มีโครงสร้างที่ซับซ้อน

ฟีเจอร์เด่น

– Customizable Prompts

ผู้เรียนสามารถตั้งคำถามหรือสร้างบทสนทนาที่เหมาะสมกับตัวเอง

– Multilingual Support

รองรับหลายภาษา ทำให้เหมาะสำหรับผู้เรียนที่ต้องการทดลองใช้ภาษาต่างๆ

จุดเด่นเพิ่มเติม

ChatGPT เหมาะสำหรับการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ หรือการสร้างคำศัพท์เฉพาะด้าน เช่น ภาษาในอุตสาหกรรมต่างๆ

8. Univerbal

Univerbal เป็นแอปที่ออกแบบมาสำหรับผู้เรียนที่ต้องการโฟกัสการพูด และการสนทนาในบริบทที่น่าสนใจ

ฟีเจอร์เด่น

– Customizable Topics

เลือกหัวข้อที่คุณสนใจ เช่น กีฬา เทคโนโลยี หรือศิลปะ

– Real-Time Feedback

ระบบช่วยปรับปรุงการพูดทันที

จุดเด่นเพิ่มเติม
Univerbal มีราคาที่เหมาะสม และเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้เรียนที่ต้องการประหยัดงบประมาณ

9. Tutor Lily

Tutor Lily ช่วยผู้เรียนพัฒนาการพูดด้วยระบบ AI ที่ให้คำแนะนำอย่างละเอียด

ฟีเจอร์เด่น

– Pronunciation Coach

ให้คำแนะนำทันทีเมื่อออกเสียงผิด

– Daily Challenges

การฝึกพูดในหัวข้อที่ท้าทาย

จุดเด่นเพิ่มเติม

Tutor Lily เหมาะสำหรับผู้เรียนที่ต้องการฝึกการพูดแบบเข้มข้น

10. Memrise

Memrise เน้นการช่วยให้ผู้เรียนจำคำศัพท์ด้วยเทคนิคการจำแบบเว้นระยะ

ฟีเจอร์เด่น

– Spaced Repetition

ระบบช่วยจำที่มีประสิทธิภาพ

– Native Speaker Audio

เสียงบันทึกจากเจ้าของภาษา ช่วยเพิ่มความมั่นใจ

จุดเด่นเพิ่มเติม
แอปนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมคลังคำศัพท์ก่อนที่จะลงลึกด้านการสนทนา

เขียนโดย ชนัญชิดา พลอยพลาย

#FutureTrends #FutureTrendsetter #FutureTrendsWorkAndLife

.

.

Source:

.

10 AI Language Learning Apps That Will Make You Fluent Faster

https://www.geeky-gadgets.com/best-ai-language-learning-apps