“มนุษย์ไม่มีขีดจำกัด” บทเรียนจาก ‘เอเลียด คิปโชกี’ มนุษย์คนแรกที่วิ่งมาราธอนได้ในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง
“เหตุผลที่ต้องวิ่งให้ได้ 1 ชั่วโมง 59 นาที ไม่ใช่เพราะต้องการโชว์ความสามารถ
“ผมวิ่ง 1 ชั่วโมง 59 นาที เพื่อจะบอกชาวไร่ชาวนาว่า คุณไม่มีขีดจำกัด บอกกับคุณครูว่า เธอสามารถทำผลงานที่ดีในการสอนที่โรงเรียนได้ และบอกกับวิศวกรว่า เขาสามารถสร้างโปรเจกต์ใหม่ๆ ได้อีกเสมอ”
นั่นคือคำอธิบายของเอเลียด คิปโชกี (Eliud Kipchoge) ยอดมนุษย์ชาวเคนยา ผู้กลายเป็นมนุษย์คนแรกที่วิ่งมาราธอน ระยะ 42.195 กิโลเมตร ได้ภายในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง
คิปโชกี สร้างตำนานนี้ในวัย 34 ปี ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อเดือนตุลาคม 2019 โดยทำเวลาได้ 1 ชม. 59 นาที 40 วินาที (1:59:40) แม้สถิตินี้จะไม่ได้รับการบันทึกเป็นสถิติโลกอย่างเป็นทางการ เนื่องจากเป็นการวิ่งส่วนตัวที่ไม่เข้าเงื่อนไขการแข่งขันวิ่งมาราธอนทั่วไป
แต่ชื่อเอเลียด คิปโชกี ก็กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ในฐานะผู้เขียนตำนานบทใหม่ให้กับชาวโลกเพื่อตอกย้ำว่า “มนุษย์เราสามารถพัฒนาได้อย่างไร้ขีดจำกัด” จริงๆ
‘โยดา’ ในชุด Nike
นอกจากความสามารถในการวิ่งระยะไกลแล้ว คิปโชกียังมีชื่อเสียงในด้านการเลือกใช้คำพูดอย่างชาญฉลาด จนถึงขั้นถูกยกให้เป็นปราชญ์ของนักวิ่ง
หลายคนขนานนามให้เขาเป็น ‘โยดาในชุด Nike’ เนื่องจากมีความสมถะและเป็นแบบอย่างที่ดีให้นักวิ่งรุ่นน้อง ไม่ต่างจากปรมาจารย์ ‘โยดา’ ของเหล่าอัศวินเจไดในหนัง Star Wars ที่สวมเสื้อผ้าและรองเท้าวิ่งของแบรนด์ชื่อดังที่เป็นสปอนเซอร์คอยให้การสนับสนุน
อย่างไรก็ตาม แม้จะถูกยกย่องเยินยอเพียงใด คิปโชกียังคงยืนยันเสมอว่า เขาคือคนธรรมดาที่ไม่ได้พิเศษไปกว่าใคร และทุกคนสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดต่างๆ ได้เหมือนกัน
แล้วอะไรคือเคล็ดลับในการใช้ชีวิตที่ทำให้ เอเลียด คิปโชกี กลายเป็นมนุษย์ที่ทำลายกำแพงการวิ่ง ซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนได้สำเร็จ ?
แพทริก แซง (Patrick Sang) นักวิ่งวิบากเหรียญเงินโอลิมปิกปี 1992 น่าจะเป็นคนที่ตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด เพราะนอกจากเขาจะเป็นชาวเผ่าตาไล (Talai) เผ่าเดียวกับคิปโชกี เขายังเป็นทั้งแรงบันดาลใจ และโค้ชผู้ให้คำแนะนำข้างกายคิปโชกีมาตลอดชีวิตการสวมรองเท้าวิ่ง
“เคล็ดลับสำคัญของเขา คือ หัวใจอันเข้มแข็ง” โค้ชแซงกล่าวถึงลูกศิษย์ผู้เป็นตำนาน
คิปโชกีได้รับการยกย่องเรื่องหัวใจที่เข้มแข็ง จากความสามารถในการ “โฟกัสกับเป้าหมายที่สูงขึ้นไป” ได้อย่างแน่วแน่ ทั้งระหว่างการฝึกซ้อม และลงแข่งขัน ทำให้เขาไม่รู้สึกท้อแท้ หรือเหน็ดเหนื่อย แม้ต้องฝึกซ้อมอย่างหนักในรูปแบบเดิมๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ
ก่อนจะประสบความสำเร็จ คิปโชกีต้องเข้าค่ายเก็บตัว 6 วันต่อสัปดาห์ ไม่ได้เจอหน้าลูกเมีย โดยทุกวันที่อยู่ในค่าย เขาต้องตื่นเช้ามาซ้อมวิ่งระยะไกลไปตามเนินเขาสูงชันในประเทศบ้านเกิด ซึ่งถือเป็นการฝึกซ้อมที่ไม่ง่าย แม้คิปโชกีจะเป็นนักวิ่งระยะไกลมาก่อนแล้วนานหลายปี
นอกจากนี้ โค้ชแซงยังบอกอีกว่า จิตใจที่เข้มแข็งของลูกศิษย์คนนี้ยังรวมถึงการหลีกเลี่ยงสิ่งยั่วเย้าต่างๆ ที่จะมาทำให้เสียสมาธิ ทั้งชื่อเสียงและเงินทอง โดยคิปโชกีได้รับการยกย่องเรื่องความสมถะและเรียบง่าย เขาไม่ชอบออกไปท่องราตรี โดยเลือกที่จะทำกิจวัตรต่างๆ อย่างเงียบๆ ในค่าย และอ่านหนังสือเติมความรู้ให้ตัวเองทุกครั้งเมื่อมีเวลา
ทั้งโค้ชแซง และบรรดาเพื่อนร่วมทีม กล่าวถึงที่มาความสำเร็จของคิปโชกีเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งนี้มาจากการผสมผสานกันระหว่างหัวใจที่เข้มแข็งหนักแน่น ความเชื่อมั่นในตัวเอง และความมีวินัย
ส่วนเจ้าตัวยกเครดิตให้กับการเลี้ยงดูแบบชนเผ่าตาไล ที่สอนให้รู้จักคำว่าเสียสละ
“แม้ตอนผมเป็นเด็ก เราได้รับคำชี้แนะให้ต้องทำงานหนัก และมีความกล้าหาญมาตลอด” คิปโชกีกล่าว
การทำงานหนัก และมีความกล้าหาญที่จะสละความสุขส่วนตัวเพื่อแลกกับความสำเร็จ คือ ที่มาที่ทำให้คิปโชกี กลายเป็นมนุษย์คนแรกที่สามารถทลายกำแพงที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อนนี้
และนี่คือบทเรียนสำคัญที่เอเลียด คิปโชกี ต้องการบอกกับทุกคนไม่ว่าจะมีอาชีพ หรือทำงานอะไร หากเรามีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำลายข้อจำกัดบางอย่าง จงเชื่อมั่นไว้ว่า เราทำได้ เพราะ “มนุษย์ไม่มีขีดจำกัด” อย่างที่เขาได้พิสูจน์ให้เห็นมาแล้ว
เขียนโดย Phanuwat Auaudomchaisakun
Source: https://bit.ly/3mGbXiO