ในโลกที่กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง นักลงทุนทั่วโลกต่างมองหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน หนึ่งในสินทรัพย์ธรรมชาติที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น คือ แนวปะการัง (Coral Reefs) ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง 9.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือราว 337.47 ล้านล้านบาทต่อปี ผ่านการให้บริการทางระบบนิเวศน์ในด้านการประมง การท่องเที่ยว และการปกป้องชายฝั่ง แต่สิ่งที่ทำให้ปะการังกลายเป็นโอกาสการลงทุนที่ไม่ควรมองข้าม คือศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
บทความนี้ได้รับแนวคิดมาจาก World Economic Forum Annual Meeting ‘Collaboration for the Intelligent Age’ ที่จัดขึ้นใน Davos-Klosters, Switzerland วันที่ 20-24 มกราคม 2025 ซึ่งบทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพูดคุยด้าน ‘Climate Action’
[ ‘ปะการัง’ โครงสร้างพื้นฐานทางธรรมชาติที่ต้องได้รับการฟื้นฟู ]
แนวปะการังทำหน้าที่เสมือนเป็นกำแพงป้องกันตามธรรมชาติที่ช่วยลดแรงกระแทกจากพายุและคลื่นทะเล ลดความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานชายฝั่ง และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประชากรโลกกว่าพันล้านคน อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะโลกร้อนและมลพิษทางทะเล แนวปะการังทั่วโลกกำลังประสบปัญหาการฟอกขาวอย่างรุนแรง
โดยปัจจุบันแนวปะการังกว่า 80% ทั่วโลกได้รับผลกระทบ และคาดการณ์ว่าหากไม่มีการดำเนินการที่เหมาะสม แนวปะการังอาจหายไปเกือบทั้งหมดภายในปี 2050
สิ่งนี้ทำให้แนวปะการังกลายเป็นโอกาสการลงทุนที่เร่งด่วน เพราะหากไม่ลงทุนในตอนนี้ ความสูญเสียที่เกิดขึ้นอาจเกินกว่าที่จะแก้ไขได้ทันเวลา ด้วยเหตุนี้นักลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนจึงควรให้ความสำคัญต่อแนวปะการังมากขึ้นในฐานะโครงสร้างพื้นฐานเชิงนิเวศน์ที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก
[ โอกาสทางเศรษฐกิจที่ซ่อนอยู่ในแนวปะการัง ]
แม้ว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจของแนวปะการังจะสูงมาก แต่ปัจจุบันการลงทุนเพื่อการอนุรักษ์ยังต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องเผชิญกับความท้าทายทางการเงินและข้อจำกัดทางด้านอื่นๆ อย่างไรก็ตามปัจจุบันได้มีการริเริ่มโครงการที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจจากการลงทุนในแนวปะการัง เช่น
การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์: แนวปะการังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวหลายล้านคนทั่วโลก หากมีการพัฒนาแนวทางที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
การประกันภัยแนวปะการัง (Coral Reef Insurance): เช่น โครงการ MAR Fund ที่ร่วมมือกับ ORRAA และ WTW ในการพัฒนาแผนประกันความเสี่ยงของแนวปะการัง หากเกิดภัยธรรมชาติ เช่น พายุเฮอริเคน ซึ่งสามารถจ่ายเงินชดเชยให้กับประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็ว
โอกาสด้านการแพทย์: สารประกอบที่ได้จากแนวปะการังแสดงศักยภาพในการใช้รักษาโรคสำคัญ เช่น มะเร็ง และโรคอัลไซเมอร์ ทำให้การลงทุนในงานวิจัยเกี่ยวกับปะการังกลายเป็นพื้นที่ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างมหาศาล
[ การเงินเพื่อสิ่งแวดล้อมบทบาทสำคัญของการเงินเชิงนวัตกรรม ]
หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของการลงทุนในแนวปะการังคือความเสี่ยงที่สูงในประเทศที่ต้องพึ่งพาปะการังเป็นแหล่งรายได้หลัก อย่างไรก็ตามเครื่องมือทางการเงินที่สร้างสรรค์ เช่น Global Fund for Coral Reefs (GFCR) ได้พัฒนากลไกทางการเงินแบบผสมผสาน (Blended Finance) ที่ใช้เงินทุนจากภาครัฐและมูลนิธิเพื่อดึงดูดการลงทุนภาคเอกชน โดยสร้างผลตอบแทนแบบ Leverage สูงถึง 3 ดอลลาร์สหรัฐต่อทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่ลงทุน
ในทำนองเดียวกันนี้เอง ‘ORRAA’s Blue Guarantee Facility’ ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 5 เท่าของเงินลงทุน ทำให้เครื่องมือเหล่านี้กลายเป็นแบบอย่างของการนำเงินทุนเข้าสู่ภาคอนุรักษ์ที่เคยมีความเสี่ยงสูงในอดีต ให้ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน
นอกจากนี้ การออกพันธบัตรเพื่อการอนุรักษ์ (Coral Bonds) และการระดมทุนผ่านช่องทางใหม่ๆ เช่น Green Bonds และ Impact Investment กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
[ การบริหารความเสี่ยงเพื่อการลงทุนในแนวปะการัง ]
สำหรับการลงทุนในแนวปะการังให้ประสบความสำเร็จนั้น นักลงทุนต้องพิจารณาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงของนโยบายภาครัฐ และความสามารถของชุมชนท้องถิ่นในการดูแลทรัพยากร ซึ่ง World Economic Forum ได้นำเสนอแนวทางที่สามารถลดความเสี่ยง ได้แก่
การสนับสนุนจากภาครัฐ: การพัฒนากรอบนโยบายที่ชัดเจนและให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับโครงการอนุรักษ์
การสร้างความตระหนักรู้: การให้ความรู้แก่ชุมชนและนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับความสำคัญของปะการังและผลกระทบที่เกิดจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
การใช้เทคโนโลยี: การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI และ IoT เพื่อช่วยในการตรวจสอบและฟื้นฟูแนวปะการังอย่างมีประสิทธิภาพ
แนวปะการังไม่เพียงเป็นระบบนิเวศที่สำคัญต่อความหลากหลายทางชีวภาพของโลก แต่ยังเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางธรรมชาติที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล ด้วยบริการเชิงนิเวศที่ประเมินมูลค่าได้ถึง 337.47 ล้านล้านบาทต่อปี ทำให้แนวปะการังเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ควรมองข้าม ทั้งในแง่ของการท่องเที่ยว การประมง และการปกป้องชายฝั่งจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม การเสื่อมโทรมของแนวปะการังอันเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนและกิจกรรมของมนุษย์กำลังสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง และอาจนำไปสู่การสูญเสียระบบนิเวศที่มีค่าไปอย่างถาวร
โอกาสในการลงทุนในแนวปะการังจึงเป็นมากกว่าการทำเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่เป็น การตัดสินใจทางธุรกิจที่ชาญฉลาด ด้วยเครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย เช่น กองทุน GFCR และโครงการประกันแนวปะการังที่ช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน การสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศและภาคเอกชนกำลังมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการลงทุนให้ขยายตัวมากขึ้น
สิ่งที่จำเป็นในตอนนี้คือ ความเป็นผู้นำและความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วน เพื่อเปลี่ยนแปะการังจากวิกฤติสู่โอกาสในการพัฒนาอย่างยั่งยืน เราต้องสร้างระบบการเงินที่เอื้อต่อการลงทุนในแนวปะการัง ปรับเปลี่ยนแนวคิดการลงทุนจากการมองระยะสั้นไปสู่การสร้างมูลค่าในระยะยาว และดำเนินการอย่างเร่งด่วนก่อนที่โอกาสอันล้ำค่านี้จะสูญเสียไปตลอดกาล
“แนวปะการังวันนี้ คือโอกาสการลงทุนแห่งอนาคตที่เราต้องร่วมกันรักษา”
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ World Economic Forum Annual Meeting ‘Collaboration for the Intelligent Age’ ที่จัดขึ้นใน Davos-Klosters, Switzerland วันที่ 20-24 มกราคม 2025
เรียบเรียงโดย ธนพนธ์ หัสกรรัตน์