‘เมื่อความสำเร็จไม่จำเป็นต้องแลกมาด้วยความเหนื่อยล้า’ อัปเดต Wellness Trends 2025 เพราะสุขภาพคือหัวใจสำคัญของคนทำงานยุคใหม่

ในช่วงปลายปี 2024 ที่ผ่านมา ‘Wellness Trends’ หรือเทรนด์ความเป็นอยู่ที่ดีนั้น ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างมาก หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เทรนด์ Wellness เป็นที่นิยม คือ ความต้องการของคนรุ่นใหม่ ที่ปฏิเสธแนวคิดที่ว่า ‘ความเหนื่อยล้าจากการทำงาน เป็นเรื่องปกติของความสำเร็จ’
งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยังช่วยเสริมความน่าเชื่อถือให้เทรนด์นี้ โดยข้อมูลล่าสุดระบุว่า บางงานทำให้พนักงานมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากกว่างานประเภทอื่นๆ
นอกจากนี้ งานวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการยืดอายุและลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น Dr. Sajad Zalzala ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เพื่อความยืนยาวและผู้ร่วมก่อตั้ง AgelessRx ได้แนะนำให้เดินมากกว่า 8,000 ก้าวต่อวัน ซึ่งช่วยเสริมสุขภาพหัวใจและเพิ่มโอกาสในการมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น
จากรายงาน ‘Year in Review Trends 2024’ โดย Wellhub ที่รวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้กว่า 3 ล้านคนจากองค์กรกว่า 19,000 แห่งทั่วโลก เผยให้เห็นแนวโน้มที่น่าสนใจสําคัญที่กําหนดอนาคตของสุขภาพในที่ทํางาน ดังนี้
‘Wellness Hour’ แทนที่ Happy Hour
ช่วงเวลา 18:00 น. ของวันอังคาร เป็นเวลาที่ผู้คนหันมาออกกำลังกายมากที่สุดทั่วโลก ในขณะที่วันอาทิตย์เป็นวันที่มีการทำกิจกรรม Wellness ต่ำที่สุด
การผสมผสานรูปแบบไฮบริด
พนักงานให้ความสําคัญกับแนวทางด้านสุขภาพแบบผสมผสาน ทั้งตัวเลือกด้านสุขภาพแบบเห็นหน้าและแบบดิจิทัล จะมีส่วนร่วมมากกว่าพนักงานที่ใช้เพียงตัวเลือกใดแบบหนึ่งถึงสองเท่า
‘Sunday Scaries’ มีอยู่จริง
ผู้คนให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพในวันอาทิตย์น้อยที่สุด
โยคะมาแรง
แม้การฝึกกล้ามเนื้อยังคงเป็นที่นิยม แต่ในปีนี้ การฝึกโยคะมีอัตราเติบโตสูงถึง 7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
โภชนาการและนิสัยที่ดีต่อสุขภาพมีการเติบโตอย่างมาก
เมื่อเทียบเป็นรายปี การใช้ข้อมูลด้านโภชนาการเพิ่มขึ้นถึง 112% และพฤติกรรมสุขภาพดีเพิ่มขึ้น 71%
กลุ่มพนักงานภาครัฐใส่ใจสุขภาพมากที่สุด
กลุ่มพนักงานภาครัฐมีกิจกรรม Wellness สูงที่สุด รองลงมาคือกลุ่มการเงินและเทคโนโลยี
Cesar Carvalho ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Wellhub เผยว่า นอกเหนือจากการออกกำลังกายแล้วนั้น พนักงานในยุคปัจจุบันยังให้ความสำคัญกับโภชนาการ สุขนิสัยที่ดี และสุขภาพจิตมากขึ้นอีกด้วย โดยการมีแผน Wellness ที่หลากหลาย ทั้งรูปแบบดิจิทัลและกิจกรรมในสถานที่จริง จะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานได้
Carvalho ยังอธิบายอีกว่า ความต้องการด้านสุขภาพของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน และนายจ้างควรให้ความสำคัญกับการออกแบบแผน Wellness ที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์ชีวิตของพนักงานได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายหลังเลิกงาน การใช้แอปพลิเคชันดูแลสุขภาพ หรือการฝึกสมาธิผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล
แนวโน้ม Wellness ในปี 2025 ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งร่างกาย จิตใจ และนิสัยในการใช้ชีวิต
โดยองค์กรที่ปรับตัวตามเทรนด์ความเป็นอยู่นี้ได้ จะสามารถสร้างทีมที่มีประสิทธิภาพ แข็งแกร่ง และมีความสุขได้อย่างยั่งยืน และสำหรับคนทำงานยุคใหม่ การดูแลตัวเองไม่ใช่แค่เรื่องทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิต เพื่อให้เราสามารถสร้างสมดุลระหว่างความสำเร็จในงานและความสุขในชีวิตส่วนตัวได้อย่างแท้จริง
เรียบเรียงโดย ชนัญชิดา พลอยพลาย
#FutureTrends #FutureTrendsetter #FutureTrendsWorkAndLife
Source: