ในโลกปัจจุบันที่เทคโนโลยีและองค์ความรู้สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว คนที่ปรับตัวกับโลกแห่งความพลวัตนี้ได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ในส่วนของคนที่ปรับตัวไม่ทัน ต่างก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า หมดอนาคตกับโลกใบนี้ เราอยากจะบอกว่าบนโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่คุณคนเดียวที่รู้สึกอย่างนั้น วันนี้ Future Trends จะพาไปรู้จักกับ ‘Self-Compassion’ หรือ ‘การใจดีกับตัวเอง’ มันคือวิธีการที่จะช่วยให้คุณก้าวข้ามปัญหาที่เจอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาสุขภาพจิต ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักมันไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า [ คำนิยามของ ‘Self-Compassion’ ] ความหมายของ ‘Self-Compassion’ ได้รับการนิยามไว้ว่า การยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวคุณเอง โดยไม่โทษตัวเองเพราะความไม่สมบูรณ์แบบคือเรื่องธรรมดาของมนุษย์ เข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่นั้นดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว นอกจากนี้มันยังหมายถึงการตระหนักรู้ถึงประสบการณ์ที่เลวร้ายของตนเอง โดยไม่บิดเบือน หรือ ปฏิเสธความเป็นจริง เพราะใดๆ ล้วนเป็นเรื่องธรรมชาติ “มนุษย์ทุกคนย่อมเคยผิดพลาด มนุษย์ที่ไม่เคยผิดพลาดคือมนุษย์ที่ไม่เคยทำอะไรเลย” ...
ความสัมพันธ์ที่ดีมีลักษณะแบบไหนกัน สามารถพึงพาอาศัยกันได้ใช่ไหม สามารถฝากความหวังเอาไว้ได้หรือเปล่า หรือ สามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ในเวลาคับขัน? สำหรับคำตอบของคำถามนี้ เราคงไม่สามารถหาคำตอบที่กระจ่างให้กับคุณได้ เพราะความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนและเปราะบาง บางครั้งความต้องการในความสัมพันธ์อาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ มีแต่ผู้ที่อยู่ในวังวนนั้นที่จะรู้ แต่ถ้าถามว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ดีมีลักษณะอย่างไร เราพอจะมีคำตอบให้กับพวกคุณได้ ผู้อ่านคงจะเคยได้ยินคำว่า ‘Gaslighting’ กันสินะ สำหรับผู้ที่ไม่เคยได้ยินคำนี้ อธิบายสั้นๆ ว่ามันเป็นคำที่ใช้เรียกความไม่ปกติในความสัมพันธ์ที่จะต้องมีฝ่ายหนึ่ง ถูกโจมตีทางความรู้สึก ทำให้รู้สึกว่าโลกทั้งใบมีผู้กระทำคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ข้างกัน นับว่าเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นพิษอย่างแท้จริง ใช่แล้วล่ะ วันนี้เราจะมาพูดคุยกันถึงเรื่องของความสัมพันธ์ที่เป็นพิษแต่ไม่ใช่ Gaslighting รูปแบบความสัมพันธ์ที่เราจะมาพูดคุยกันคือ ‘Guilt Trip’ ความรู้สึกผิดที่เปลี่ยนแปลงเป็นพิษของความสัมพันธ์ [ ‘Guilt Trip’ ทำไมเราถึงรู้สึกผิดกับเขาขนาดนั้น ] Guilt Trip ...
เคยมีประสบการณ์แบบนี้ไหม? “คุณฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อการแข่งขันที่แสนยิ่งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง คุณเฝ้ารอวันนี้มาแสนนาน วันที่จะสามารถเอาชนะศึกที่ซ้อมฝึกฝนมาอยู่ทุกวันได้ แต่แล้วเพื่อเวลานั้นมาถึงคุณกลับทำพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย” เราให้นิยามของรู้สึกนี้ว่า ‘Choking’ หรือ ‘ภายใต้แรงกดดัน’ เป็นศัพท์ที่ใช้อย่างกว้างขวางในวงการกีฬา เมื่อผู้เล่นอยู่ในภาวะกดดันจนส่งผลให้ทำพลาดในการแข่งขัน นอกจากวงการกีฬาแล้วภาวะนี้ยังสามารถเกิดได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการพูดผิดบนเวทีใหญ่ ความผิดพลาดในคอนเสิร์ต หรือใดๆ ก็ตามที่เป็นสถานการณ์ภายใต้แรงกดดัน ซึ่งเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วตัวเราจะปล่อยวางจากมันได้ยากมาก ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดภาวะกดดันนั้นถูกเชื่อมโยงอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า ‘โฟกัส’ เพราะเราโฟกัสกับความสำเร็จมากจนเกินไป จนสร้างสภาวะที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน เมื่อสภาวะนี้อยู่รอบตัวเราในขณะที่เรามุ่งโฟกัสไปที่ความสำเร็จ ส่งผลให้การเผื่อใจเมื่อทำผิดพลาดหายไป ตามมาด้วยผลกระทบที่เจาะลึกลงไปในจิตใจ เมื่อทำความผิดที่อาจจะมีส่วนแค่เล็กน้อยของชีวิต แต่มันเป็นความผิดพลาดในงานใหญ่ที่เราตั้งใจมาอย่างดี วิธีแก้ไขอาการนี้มีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ 1.การเบี่ยงเบนความสนใจ หากคุณอยู่ในภาวะกดดันแสดงว่าคุณกำลังมีสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความสนใจ และโฟกัสในจุดนั้น ส่งผลให้คุณหมกมุ่น กังวลใจ และหวาดกลัว ...
เมื่อการเข้ามาของเทคโนโลยี เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตประจำวันไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อก่อนเราใช้ชีวิตของตัวเองไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของใคร แต่ในปัจจุบันเรื่องราวต่างๆ ถูกเล่าออกไปสู่สาธารณะชน จากโนบอดี้ กลายเป็นซัมวันของสังคม มันเป็นเรื่องดีของสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา แต่ในบางครั้งมันก็มาพร้อมกับอาการแปลกๆ ที่น่าตกใจ วันนี้ Future Trends อยากจะพาทุกคนไปรู้จักกับ ‘Main Character Syndrome’ หรือ ‘อาการของตัวละครหลัก’ อาการที่ไม่ใช่ภาวะทางจิตใจ แต่ว่ามีปัจจัยมาจากความมั่นใจที่มากจนกลายเป็นดาบสองคม [ ‘Main Character Syndrome’ คืออะไร? ] ‘เบียว’ อาจจะเป็นคำนิยามที่คุณมอบให้กับอาการนี้ ‘Main Character Syndrome’ หรือ ‘อาการของตัวละครหลัก’ ไม่ใช่อาการทางการแพทย์ ...
“ในวันธรรมดาวันหนึ่ง คุณตื่นสายและรีบไปทำงานอย่างเร่งด่วน จนลืมที่จะเช็คหน้า ผม การแต่งตัว เมื่อถึงที่ทำงานคุณรู้สึกว่าคนรอบตัวมองมาที่คุณ และแอบคิดไม่ดีในใจ ซึ่งมันทำให้คุณรู้สึกอายอย่างมาก” แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาได้สังเกตคุณและแอบคิดไม่ดีจริงๆ หรือเปล่า? วันนี้ Future Trends จะพามารู้จักกับแนวคิดทางจิตวิทยาที่มีชื่อว่า ‘Spotlight Effect’ แนวคิดที่พูดถึงผู้คนที่มักจะคิดว่าตัวเองถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา จนส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต [ ‘Spotlight Effect’ แนวคิดทางจิตวิทยา ที่ผู้คนมักจะคิดว่าตัวเองถูกจับตามองอยู่ ] ‘Spotlight Effect’ คือ แนวคิดทางจิตวิทยาสังคมที่กล่าวถึงแนวโน้มที่จะประเมินค่าตัวเองสูงเกินไป ทำให้มีความรู้สึกว่าถูกจับจ้องตลอดเวลา และมักจะคิดไปเองว่าคนอื่นกำลังพูดถึงตัวเองอยู่ เปรียบดั่ง สปอตไลท์ ที่มีหน้าที่ฉายแสงไปยังจุดเด่นที่ต้องการให้ความสำคัญ แต่ Spotlight ...
วันนี้ Future Trends จะพาผู้อ่านมาจับตามองกระแสเกี่ยวกับสวัสดิการของการทำงานในปี 2024 ที่ทุกคนให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น (Well-Being) องค์กรและธุรกิจต่างๆ ควรจะปรับตัวอย่างไรเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการสากล [ 5 Trends ‘Employee Welfare’ ที่พนักงานมองหาในปี 2024 ] เทรนด์ 1: Mental Health will be a Priority สุขภาพจิตต้องมาก่อน ในช่วงปีที่ผ่านมาสุขภาพจิตถูกให้ความสนใจมากยิ่งขึ้นในสถานที่ทำงาน เพราะปัญหาภาวะหมดไฟ ความเป็นพิษของสิ่งวอดล้อมในที่ทำงานต่างส่งผลเสียให้กับพนักงานในบริษัท ทำให้ต้องพบเจอกับปัญหาสุขภาพจิตมากมาย ดังนั้นในปี 2024 เราต่างก็ต้องการสวัสดิการที่ครอบคลุมในด้านของสุขภาพจิตมากยิ่งขึ้น เช่น สนับสนุนการปรึกษาแพทย์ ...
คุณเคยสงสัยไหม? ทำไมเราถึงรู้สึกว่ากลุ่มคนที่อยู่กันเป็นกลุ่ม ‘ดูดี’ กว่าการแยกกันอยู่ ทางจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘Cheerleader Effect’ หรือ ปรากฏการณ์หน้าตาดีขึ้น เป็นการนิยามคนที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ว่าพวกเขามีหน้าตาที่ดูดีขึ้น [ ‘Cheerleader Effect’ ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาว่าด้วยความดูดี ] จุดเริ่มต้นของ ‘Cheerleader Effect’ ไม่มีการระบุอย่างแน่ชัดว่าถูกคิดค้นขึ้นโดยผู้ใด แต่มีการคาดการณ์ว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่มีผลมาจากทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคม (Social Comparison Theory) และทฤษฎีความดึงดูดใจทางสังคม (Social Attraction Theory) ทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคม มีแนวคิดว่า “เรามักจะเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นเพื่อหาข้อดีหรือข้อเสียของตัวเอง ทำให้เมื่อเราเห็นกลุ่มคนที่อยู่ร่วมกันแล้วมีหน้าตาดี เราจะเปรียบเทียบกับตัวเองและมีความรู้สึกว่าตัวเองก็เทียบเท่ากลุ่มคนหน้าตาดีนั้นได้” ...