30 ปี Preserved Food Specialty (PFS) ผู้นำนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต กับการก้าวไปข้างหน้าเพื่อนำทัพ พร้อมรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหาร

“คุณภาพคือหัวใจสำคัญที่ทำให้เราเป็นผู้นำ” คำกล่าวนี้ของคุณวรภาส มหัทธโนบล กรรมการผู้จัดการบริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด (PFS) สะท้อนถึงปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่ยึดถือมาตลอด 30 ปี ในการขับเคลื่อนธุรกิจจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของผู้ผลิตอาหารอบแห้งในเมืองไทย จนก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกนวัตกรรมอาหารที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
ในโอกาสครบรอบ 30 ปี PFS ได้จัดงานฉลองภายใต้ชื่อ “PFS’s 30 Years: SYNERGY OF SUCCESS” พร้อมเปิดตัวโลโก้ใหม่ที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และพันธกิจในอนาคต และพูดคุยถึงการคิดและปรับตัวกับความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหารในอนาคต มาติดตามเส้นทางการเติบโตและวิสัยทัศน์ของบริษัทไทยที่กำลังมุ่งสู่การเป็นผู้นำนวัตกรรมอาหารระดับโลก
[จุดเริ่มต้นธุรกิจอาหารพรีเซิร์ฟในไทย และการก่อตั้ง PFS]
ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว คุณวรภาส มหัทธโนบล ได้ตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจผลิตอาหารแห้งแบบฟรีซดรายในประเทศไทย ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยยังต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่
“วันที่เราเริ่มก่อตั้งบริษัทพรีเซิร์ฟฟู้ดเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เราได้เลือกอุตสาหกรรมผลิตฟรีซดราย ในวันนั้นประเทศไทยเองหลายอย่างต้องนำเข้า” คุณวรภาสเล่าถึงจุดเริ่มต้น
จุดมุ่งหมายแรกเริ่มของ PFS คือการสนับสนุนอุตสาหกรรมอินสแตนท์หรืออาหารสำเร็จรูป โดยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ตั้งแต่รูปแบบซอง มาเป็นแบบถ้วย เช่น ส่วนประกอบกุ้งสำเร็จรูปในต้มยำกุ้ง หรือเนื้อและหมูสับในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
การเริ่มต้นธุรกิจนี้เผชิญกับความท้าทายหลายประการ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องลงทุนสูง แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ทำให้ PFS สามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ จนประสบความสำเร็จ
โรงงานแห่งแรกของ PFS ตั้งอยู่ที่มหาชัย ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยป่า แต่การเลือกทำเลนี้มีเหตุผลสำคัญเนื่องจากเป็นแหล่งของวัตถุดิบในกลุ่มซีฟู้ด ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์แรกที่บริษัทมุ่งเน้น ปัจจุบันพื้นที่นี้ได้กลายเป็นย่านอุตสาหกรรมที่มีโรงงานตั้งอยู่อย่างหนาแน่น
[การเติบโตอย่างก้าวกระโดดใน 3 ทศวรรษ]
ในปีแรกของการก่อตั้ง PFS มีพนักงานเพียง 18 คน และมียอดขายอยู่ที่ 17 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากธุรกิจการค้า (เทรดดิ้ง) ที่ดำเนินการควบคู่ไปด้วย หลังจากนั้น บริษัทได้เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 100% ต่อเนื่องกัน 3-4 ปี จนสามารถทำยอดขายแตะ 100 ล้านบาทในปี 1998
น่าสนใจที่ว่า แม้ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 1997 PFS ยังคงเติบโตและมีการลงทุนในเครื่องจักรเพิ่มเติม แสดงถึงความมั่นใจและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของผู้บริหาร
ปี 1999 เป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อบริษัทเริ่มขยายธุรกิจไปสู่กลุ่มสินค้าสเปรย์ดราย การเริ่มต้นในตลาดใหม่นี้ต้องอาศัยความพยายามอย่างมาก เริ่มจากการมีทีมขายเพียงแค่ 2-3 คนที่วิ่งขายในพื้นที่ต่างจังหวัด
จุดเปลี่ยนสำคัญคือการคิดค้นบรรจุภัณฑ์ขนาดหนึ่งกิโลกรัมที่ตอบโจทย์ร้านค้า ซึ่งยังไม่มีผู้ผลิตรายใดทำมาก่อน เริ่มจากซองอลูมิเนียมที่ติดสติกเกอร์ธรรมดา จนกระทั่งหลังจาก 1-2 ปี จึงเริ่มพัฒนาแบรนด์แรกชื่อ “คอฟฟี่ ดรีมมี่”
การเติบโตของยอดขายใน 3 ทศวรรษของ PFS แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง:
– ปี 2003 (ทศวรรษแรก): ยอดขาย 397 ล้านบาท
– ปี 2010: ยอดขาย 1,332 ล้านบาท
– ปี 2012: ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านบาท หลังจากการรีแบรนด์
– ปี 2013 (ทศวรรษที่ 2): ยอดขาย 2,272 ล้านบาท
– ปี 2024 (ล่าสุด): ยอดขายปิดที่ 4,604 ล้านบาท
[การขยายตลาดจากไทยสู่ระดับโลก]
หนึ่งในความภาคภูมิใจของ PFS คือการขยายตลาดจากในประเทศสู่ตลาดโลก โดยปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้ส่งออกไปยังหลายประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา และยุโรป
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น กุ้ง นารูโตะ ก็ได้ส่งออกไปยังจีน และในสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่อนุญาตให้นำเข้าเนื้อสัตว์ ทาง PFS ก็ส่งออกเฉพาะผักแทน
ความน่าเชื่อถือของ PFS ในตลาดต่างประเทศนั้นสูงมาก จนกระทั่ง “ทุกบริษัทที่ทำอินเตอร์เนชันแนลมาพบมาที่โรงงานเราก่อน” และบริษัทยังคงเป็นซัพพลายเออร์ให้กับพันธมิตรบางรายมานานถึง 28 ปี
ความสำเร็จนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารไปยังต่างประเทศต้องรักษามาตรฐานที่เข้มงวด แต่ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา PFS ไม่เคยประสบปัญหาด้านคุณภาพสินค้า จึงยังคงเป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือของบริษัทชั้นนำระดับโลก
วิสัยทัศน์และเป้าหมายในทศวรรษที่ 4
ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 4 PFS ได้วางวิสัยทัศน์และเป้าหมายการเติบโตอย่างชัดเจน โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Health & Well-being) มากขึ้น
คุณภาณุ มหัทธโนบล ผู้จัดการทั่วไป เผยถึงเป้าหมายว่า “เราตั้งเป้าหมายและเปลี่ยนเป้าหมายของเราเพิ่มเติมในเรื่องของเฮลท์และเวลบีอิ้งให้มากขึ้น และเราตั้งเป้าหมายว่าเราจะสามารถโตให้ถึงยอด 7,000 ล้านได้ภายในปี 2030”
นอกจากการขยายกำลังการผลิตแล้ว PFS ยังได้ลงทุนในเครื่องจักรและสายการผลิตใหม่ๆ โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมของกลุ่มฟรีซดรายและสเปรย์ดรายอยู่ที่ประมาณ 100,000 ตันต่อปี และยังมีการลงทุนในไลน์ผลิตใหม่ในกลุ่ม Frozen ด้วยเทคโนโลยี Individual Quick Frozen (IQF)
ที่น่าสนใจคือ PFS ได้ร่วมมือกับพันธมิตรในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากข้าวหอมมะลิ จนกลายเป็น “ผู้ผลิตและจำหน่ายข้าวหอมมะลิออร์แกนิครายใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน”
นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสุขภาพและความยั่งยืน
ในปี 2025 PFS เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 3 กลุ่มหลักเพื่อตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ ได้แก่:
1. ไบท์มี (Bite Me) โยเกิร์ตสมูทตี้ฟรีซดราย: มี 3 สูตรที่เน้นคุณประโยชน์ต่างกัน ได้แก่ วิตามินซี, วิตามินอี และไฟเบอร์
2. ดรีมมี่ฟรุตทีวิทสตีเวีย (Dreamy Fruit Tea with Stevia): ชาผลไม้ที่ใช้สตีเวียเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล มี 5 รสชาติ ได้แก่ แอปเปิ้ล, ยูซุ, พีช, มิกซ์เบอร์รี่ และฮันนี่เลมอน
3. ดรีมมี่เนเชอรัลโอ๊ตมิลค์ครีมเมอร์ (Dreamy Natural Oat Milk Creamer): ครีมเมอร์ที่ทำจากน้ำมันมะพร้าวและโปรตีนจากนมโอ๊ต โดยไม่มีส่วนผสมของนมวัว
นอกจากนี้ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา PFS ยังได้ขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น การเป็นผู้ผลิตรายแรกในประเทศไทยที่ทำชานมไข่มุกทรีอินวันที่มีไข่มุกทำจากมันสำปะหลังจริงๆ ใส่ในผลิตภัณฑ์
อีกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงโควิด-19 คือ กลุ่มขนมสัตว์เลี้ยงแบบฟรีซดราย (Pet Snack) ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าและมีความน่าพึงพอใจในการบริโภค (Palatability) สำหรับสัตว์เลี้ยงสูงกว่าอาหารทั่วไป
[Food Insecurity and The Next Chapter คิดและปรับตัวกับทุกมิติที่ผู้บริโภคต้องการเพื่อเข้าถึงแหล่งอาหารโลกอย่างยั่งยืนในอนาคต]
ในการเสวนาภายใต้หัวข้อ “Food Insecurity and The Next Chapter คิดและปรับตัวกับทุกมิติ ที่ผู้บริโภคต้องการ เพื่อเข้าถึงแหล่งอาหารโลกอย่างยั่งยืนในอนาคต” โดยมีผู้ร่วมเสวนาคือ ผศ. ดร. วิษุวัต สงนวล อาจารย์ประจำภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคุณเชอรี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ นักธุรกิจเพื่อสังคม และผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน ได้แลกเปลี่ยนมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับอนาคตของอาหารและความมั่นคงทางอาหารในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง
คุณเชอรี่ เข็มอัปสร มองว่าการเลือกอาหารในปัจจุบันไม่ใช่เพียงการดูแลสุขภาพส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการดูแลสิ่งแวดล้อมด้วย “ถ้าเราดูแลตัวเองแต่ไม่ดูแลสิ่งแวดล้อมเลย มันไม่มีทางที่เราจะดูแลตัวเองได้ดี เพราะว่าเราไม่สามารถใช้ชีวิตคนเดียวได้ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี”
เธอเล่าว่าความสนใจในเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ไปด้วยกันได้ดี โดยเฉพาะในการเลือกอาหาร ประสบการณ์จากการทำธุรกิจเพื่อสังคมที่สนับสนุนเกษตรกรที่ทำการเกษตรแบบฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) ทำให้เธอเห็นความสำคัญของการเลือกอาหารมากขึ้น
📌 ความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหารและอาหารแห่งอนาคต
ผศ. ดร. วิษุวัต สงนวล ได้นำเสนอมุมมองเกี่ยวกับความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหารและทิศทางของอาหารในอนาคต โดยเธอระบุเทรนด์สำคัญที่กำลังส่งผลกระทบต่อระบบอาหารโลก ได้แก่:
สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society): ประเทศต่างๆ กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งส่งผลให้ความต้องการอาหารเฉพาะทางสำหรับผู้สูงอายุมีมากขึ้น
การเพิ่มขึ้นของประชากรโลก: แม้ว่าอัตราการเกิดในประเทศไทยจะลดลง แต่ประชากรโลกยังคงเพิ่มขึ้น และคาดว่าในปี 2050 จะต้องผลิตอาหารให้ได้มากขึ้นกว่าปัจจุบันถึง 2 เท่า ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างมาก เมื่อพิจารณาว่าปัจจุบันเกษตรกรหนึ่งคนต้องผลิตอาหารเลี้ยงคนถึงเกือบ 50 คน
ความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Uncertainty): สงคราม ความขัดแย้ง และการเมืองระหว่างประเทศส่งผลกระทบต่อการผลิตและการกระจายอาหาร
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change): ส่งผลกระทบต่อการเกษตรและความมั่นคงทางอาหารในวงกว้าง
พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปหลังโควิด-19: ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ทำให้ความต้องการอาหารเพื่อสุขภาพเพิ่มสูงขึ้น
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI: ถึงแม้ว่าอาหารยังคงเป็นสิ่งที่ต้องบริโภคในโลกจริง แต่เทคโนโลยี AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและผลิตอาหาร
โดยประเทศไทยมีโอกาสสำคัญในการเป็นศูนย์กลางความมั่นคงทางอาหารของภูมิภาค เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวย โดยหากวางจุดศูนย์กลางที่กรุงเทพฯ และลากวงกลมออกไป 2,000 กิโลเมตร จะพบว่ามีประชากรอาศัยอยู่ในวงกลมนี้มากกว่าคนที่อยู่นอกวงกลม ซึ่งเป็นโอกาสทางการตลาดที่สำคัญ
และได้แบ่งอาหารแห่งอนาคต (Future Food) ออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่
1. อาหารฟังก์ชันนอล (Functional Food): อาหารที่มีคุณสมบัติเฉพาะด้านและส่งผลดีต่อสุขภาพ
2. อาหารออร์แกนิก (Organic Food): อาหารที่ผลิตโดยไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ ซึ่งในยุโรปกำลังกลายเป็นอาหารหลักในซุปเปอร์มาร์เก็ต
3. อาหารเฉพาะกลุ่ม (Specialized Food): เช่น อาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยบางกลุ่ม หรืออาหารสำหรับเด็ก
4. อาหารจากพืช (Plant-based Food): เนื่องจากการผลิตเนื้อสัตว์ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมค่อนข้างมาก ทำให้ผู้บริโภคหันมานิยมอาหารจากพืชมากขึ้น
📌 คุณสมบัติและบทบาทของอาหารแห่งอนาคต
เมื่อพูดถึงหน้าตาของอาหารแห่งอนาคต ด็อกเตอร์วิสุวัตมองว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการช้า อาหารแห่งอนาคตจึงยังคงมีลักษณะและรูปแบบที่ใกล้เคียงกับอาหารในปัจจุบัน เพราะผู้บริโภคยังต้องการอาหารที่มีรสชาติดี มีสัมผัสที่ดี และมีหน้าตาน่ารับประทาน ไม่ใช่อาหารแบบนักบินอวกาศ
ทั้งคุณเชอรี่และด็อกเตอร์วิษุวัตเห็นพ้องกันว่าเทคโนโลยีการถนอมอาหารจะมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงทางอาหารในอนาคต โดยเฉพาะเทคโนโลยีฟรีซดราย (Freeze-dry) ที่สามารถรักษาคุณค่าทางโภชนาการ รสชาติ และเนื้อสัมผัสของอาหารได้ดี
เทคโนโลยีฟรีซดรายสามารถทำให้อาหารแห้งที่อุณหภูมิต่ำมาก ซึ่งช่วยรักษาวิตามิน กลิ่น รส และเนื้อสัมผัสได้ดีกว่าเทคโนโลยีอื่น เช่น สเปรย์ดราย ที่ต้องใช้ความร้อนสูง นอกจากนี้ การที่ฟรีซดรายทำความเย็นอย่างรวดเร็วยังช่วยรักษาโครงสร้างเซลล์ได้ระดับหนึ่ง เมื่อเติมน้ำกลับเข้าไปจึงสามารถคืนรูปได้ใกล้เคียงกับอาหารสด
📌 อนาคตของอุตสาหกรรมอาหารและการปรับตัวของผู้ผลิต
ในช่วงสุดท้ายของการเสวนา ด็อกเตอร์วิษุวัต ได้พูดถึงบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะเข้ามามีส่วนในการปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหาร โดยเธอมองว่า AI จะเข้ามาช่วยในหลายด้าน ตั้งแต่การวางกลยุทธ์ทางธุรกิจ การตลาด ไปจนถึงกระบวนการผลิตอาหาร เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น
เธอชี้ให้เห็นว่า AI จะช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้บริโภคเพื่อพัฒนาอาหารที่เฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละบุคคล (Personalized Food) มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีการตรวจวัดความต้องการสารอาหารของแต่ละคนมีความแม่นยำมากขึ้น
นอกจากนี้ ด็อกเตอร์วิษุวัตยังเน้นความสำคัญของเทคโนโลยีที่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาอาหาร (Shelf Life) ซึ่งจะมีความสำคัญมากขึ้นในอนาคตเมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรออกไม่ตรงตามฤดูกาล บางครั้งมีผลผลิตมากเกินไปจนไม่รู้จะจัดการอย่างไร เทคโนโลยีการถนอมอาหาร เช่น ฟรีซดราย จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้
📌 ข้อเสนอแนะสำหรับการปรับตัวของผู้ผลิตอาหาร
เมื่อถูกถามถึงสิ่งที่ผู้ผลิตอาหารควรเร่งดำเนินการในขณะนี้ คุณเชอรี่แนะนำให้ผู้ผลิตขยายแนวคิดจากความยั่งยืน (Sustainable) ไปสู่การฟื้นฟู (Regenerative) และการเสริมสร้าง (Enhance) ในสิ่งที่ทำอยู่
ส่วนด็อกเตอร์วิษุวัตมองว่า แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปมากเพียงใด แต่ปัจจัยที่มีค่ามากที่สุดคือความเป็นมนุษย์ (Humanity) “สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะมีคุณค่ามากที่สุดในโลกเลย ถึงเราจะพูดเรื่อง AI, Data, การวิจัยใดๆ แต่มันไม่มีอะไรทดแทน Humanity ได้เลย” เธอกล่าว
เธอเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยชนะใจซัพพลายเออร์และลูกค้าจากทั่วโลกคือความเป็นไทย “คนไทยเรารักอาหาร รักผู้บริโภค และพยายามผลิตของที่ดีให้กับทุกคน ซึ่งสิ่งนั้นไม่มีอะไรที่จะมาล้มล้างได้ ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ตาม”
[บทบาทของ PFS ในการรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหารในอนาคต]
ในงานครบรอบ 30 ปี PFS ได้แสดงความตระหนักของบริษัทต่อประเด็นความมั่นคงทางอาหารที่กำลังเป็นความท้าทายระดับโลก
วิกฤตการณ์ภาวะโลกร้อน ปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา ส่งผลให้แหล่งอาหารตามธรรมชาติลดลง ในขณะที่ประชากรโลกกลับเพิ่มขึ้น สร้างความไม่สมดุลและความไม่มั่นคงทางอาหาร (Food Insecurity)
PFS ตระหนักถึงความท้าทายนี้ และเชื่อว่านวัตกรรมการแปรรูปอาหารจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการถนอมและรักษาคุณค่าของทรัพยากรโลก เพื่อเป็นแหล่งอาหารที่ดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
ยิ่งไปกว่านั้น การมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สอดรับกับเทรนด์สุขภาพและความยั่งยืนระดับโลก (Global Health and Sustainability Trend) ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ PFS ให้ความสำคัญ
การเปลี่ยนแปลงโลโก้ใหม่ของบริษัทก็สะท้อนถึงวิสัยทัศน์นี้ โดยคุณวรภาสกล่าวว่า
“โลโก้ใหม่ของ PFS จะไม่เพียงแต่เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงการเติบโต แต่จะเป็นสัญญาใจของ PFS ต่อทุกๆ พันธมิตรธุรกิจที่ต้องการเป็นศูนย์รวมแบบครบวงจรในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคไว้วางใจอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง และ PFS จะยังคงมุ่งมั่นก้าวต่อไปสู่อนาคตด้วยนวัตกรรมการผลิต สร้างผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ส่งเสริมสุขภาพของผู้คนบนโลกพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”
ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา PFS ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีการถนอมอาหารอย่างต่อเนื่อง จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในประเทศไทย สู่การเป็นผู้ผลิตระดับโลกที่ได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรธุรกิจชั้นนำ
ในโลกที่กำลังเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหารและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บทบาทของผู้นำนวัตกรรมอาหารอย่าง PFS จะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น
และด้วยรากฐานอันแข็งแกร่งจาก 30 ปีที่ผ่านมา เราสามารถมั่นใจได้ว่า PFS จะยังคงเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทยและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระดับโลกต่อไป
จากบริษัทเล็กๆ ที่เริ่มต้นด้วยพนักงาน 18 คน สู่ผู้นำนวัตกรรมอาหารที่มุ่งสู่ยอดขาย 7,000 ล้านบาท เส้นทาง 30 ปีของ PFS ไม่เพียงเป็นเรื่องราวของความสำเร็จทางธุรกิจ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มุ่งมั่นจะสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาระดับโลก
การเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีของ PFS จึงไม่ใช่เพียงการมองย้อนไปในอดีต แต่เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าสู่อนาคตที่ดีกว่าและยั่งยืนสำหรับทุกคน
#FutureTrends #FutureTrendsetter #PFS #PreservedFoodSpecialty #SynergyofSuccess #ครบรอบ30ปีPFS