“Now I am become Death, the destroyer of worlds.” “ในตอนนี้ผมได้กลายมาเป็นความตาย ที่ทำลายโลกใบนี้” คำพูดของ เจ. โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ บิดาแห่งระเบิดปรมาณู ที่เหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 สร้างความรู้สึกผิดให้เขาไปจนวันสุดท้ายของชีวิต
เจ. โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ (J. Robert Oppenheimer) หรือชื่อเต็ม จูเรียส โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ แต่ผู้คนมักเรียกเขาด้วยฉายา ว่า ‘The Father of Atomic Bomb’ ‘บิดาแห่งระเบิดปรมาณู’ บุคคลสำคัญของโลกผู้ซึ่งอยู่เบื้องหลังการยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยระเบิดของเขา
เจ. โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ เกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน คริสต์ศักราช 1904 นครนิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา (เสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ คริสต์ศักราช 1967 พรินซ์ตัน รัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา) เป็นนักฟิสิกส์เชิงทฤษฎี ผู้อยู่เบื้องหลังโครงการพัฒนาระเบิดปรมาณู และห้องปฏิบัติการลอสอาลามอส (Los Alamos Laboratory)
ช่วงชีวิตในวัยเด็กของ เจ. โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ เขาเป็นลูกชายคนโตในครอบครัวที่มีฐานะ เดิมทีบิดาของเขาเป็นชาวเยอรมัน แต่ได้อพยพมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ประกอบกิจการนำเข้าสิ่งทอจนร่ำรวย ออพเพนไฮเมอร์เข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ถึงแม้ฐานะทางบ้านจะดีแต่เขาก็ไม่ได้มีความสุขในรั่วโรงเรียนขนาดนั้น เขาชอบอยู่คนเดียวไม่คบหากับเด็กคนอื่น
ออพเพนไฮเมอร์ เป็นเด็กที่ฉลาดมาก เขาใช้เวลาว่างไปกับการอ่านหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และวรรณกรรม ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับเชิญจากสมาคมแร่วิทยาแห่งนิวยอร์กให้ไปบรรยายโดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าในขณะนั้น ออพเพนไฮเมอร์ คือ เด็กอายุ ‘12’ ปี เรียกได้ว่าฉายแววอัจฉริยะมาตั้งแต่เด็ก
ระหว่างที่ศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ออพเพนไฮเมอร์ มีความสามารถด้านภาษาละติน ภาษากรีก ด้านฟิสิกส์ และด้านเคมี ตีพิมพ์บทกวี และศึกษาปรัชญาตะวันออก แต่เขาไม่มีความสนใจในด้านสังคมและการเมืองเลย ชีวิตของเขามีแต่คำว่าวิทยาศาสตร์
หลังจากสำเร็จการศึกษาในปี คริสต์ศักราช 1925 เขาล่องเรือไปยังประเทศอังกฤษ เพื่อทำวิจัยที่ห้องทดลองคาเวนดิช แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ภายใต้การนำของลอร์ดเออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด ผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติในด้านการศึกษาเชิงบุกเบิกเกี่ยวกับโครงสร้างอะตอม ณ ที่แห่งนี้เอง ทำให้เขาได้เข้าใกล้กับสิ่งที่เรียกว่า ‘ปรมาณู’
ในปี คริสต์ศักราช 1927 ออพเพนไฮเมอร์จบการศึกษาปริญญาเอก เขากลับไปที่สหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นอาจารย์สอนวิชาฟิสิกส์ ที่มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย และสถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย งานวิจัยในช่วงแรกของเขาจะเกี่ยวกับกระบวนการพลังงานของอนุภาคย่อยของอะตอม รวมถึงอิเล็กตรอน โพซิตรอน และรังสีคอสมิก
หลังจากการรุกรานโปแลนด์โดยนาซีในปี คริสต์ศักราช 1939 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้เตือนรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ถึงอันตรายระดับภัยคุกคามต่อมวลมนุษยชาติ ว่า พวกนาซีกำลังพัฒนาพัฒนา และสร้างอาวุธนิวเคลียร์
ในเดือนสิงหาคม ปีคริสต์ศักราช 1942 กองทัพสหรัฐอเมริกา ได้รับหน้าที่ในการรับผิดชอบในการแสวงหาวิธีใช้ประโยชน์จากพลังงานนิวเคลียร์เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหาร ความพยายามดังกล่าวกลายเป็นที่รู้จักในชื่อโครงการแมนฮัตตัน(the Manhattan Project) ออพเพนไฮเมอร์ได้รับคำสั่งให้จัดตั้งและบริหารห้องปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามภารกิจนี้
ในปี คริสต์ศักราช 1943 เขาเลือกที่ราบสูงลอสอาลามอส ใกล้กับเมืองซานตาเฟ รัฐนิวเม็กซิโก สาเหตุที่เขาถูกเลือกให้เป็นผู้นำในโครงการนี้ เพราะความสามารถในการเป็นผู้นำที่ไม่ว่าคนในบังคับบัญชาการจะมาจากฝ่ายทหาร หรือนักวิทยาศาสตร์ เขาสามารถทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันภายใต้ความสามัคคีได้
เขาทุ่มเทกับโครงการนี้อย่างมากจนสามารถหาคำตอบของวิธีการทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ที่จะสร้างพลังอย่างมหาศาลเป็นการก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษย์ เกิดออกมาเป็นระเบิดยูเรเนียมของประเทศสหรัฐอเมริกา ขาดเพียงแค่การทดสอบเท่านั้น แต่นาซีเกิดยอมแพ้สงครามเสียก่อน ระเบิดนี้จึงไม่ถูกใช้งานกับนาซี
“แม้นาซีจะยอมแพ้สงคราม แต่ประเทศญี่ปุ่นยังอยู่” กล่าวโดย หน่วยข่าวกรองสหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุนี้โปรเจคแมนฮัตตันจึงถูกดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ออพเพนไฮเมอร์บอกกับทีมงานของเขาว่าการสร้างระเบิดต่อจากนี้เป็นการทำเพื่อ “ยุติสงครามในอนาคต”
ในเดือนพฤษภาคม ปี คริสต์ศักราช 1945 พวกเขาได้วางแผนการทิ้งระเบิดว่าเมืองไหนในญี่ปุ่นจะได้รับระเบิดที่ถูกคิดค้นนี้กัน ออพเพนไฮเมอร์ไม่ได้พูดอะไรในที่ประชุมเขามัวแต่กังวลว่าระเบิดจะเสร็จทันเวลาไหม ทว่า 6 เดือนหลังจากนั้น ระเบิดก็เสร็จสมบูรณ์ เหลือเพียงแค่ทดสอบเท่านั้น
ณ ทะเลทรายในนิวเม็กซิโก วันทดสอบระเบิดมาถึง ในหัวของออพเพนไฮเมอร์เต็มไปด้วยความกังวล “ถ้าหากระเบิดไม่ทำงานมันจะหมายความว่าพวกเราไม่สามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้ แต่ว่าถ้ามันทำงานหน้าที่ของเราก็เสร็จสมบูรณ์” แต่ภายใต้ความคิดนี้ภาพสะท้อนของความคิดอีกมุมมองนึงผุดขึ้นมาในหัวของเขา “ความสำเร็จ ที่หมายถึงชีวิตผู้คนบริสุทธิ์กว่า แสนคนต้องถูกพรากไปด้วยระเบิดที่เราสร้างน่ะหรือ?”
ในขณะที่หัวของเขาแทบจะระเบิดจากความกังวลต่างๆ ผลการทดสอบ ‘มันสำเร็จ’ ระเบิดสามารถใช้งานได้จริง พวกเขาทำได้สำเร็จ เป็นชัยชนะที่น่าอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง
หลังการทดสอบระเบิดประสบความสำเร็จ นักวิทยาศาสตร์ในทีมของโครงการได้ร่วมกันคัดค้านการใช้งานระเบิดนี้กับประเทศญี่ปุ่นเพราะมันรุนแรงเกินไป คนบริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แต่มันไม่เป็นผล รัฐบาลยังเดินหน้าใช้งานระเบิดกับประเทศญี่ปุ่น โดยออพเพนไฮเมอร์เสนอให้กองทัพทิ้งระเบิดลงที่เมืองฮิโรชิมา ด้วยระเบิดที่มีชื่อว่า ‘Little Boy’ ก่อนที่จะตามด้วย ‘Fat Man’ เมืองนางาซากิ
การทิ้งระเบิดทั้งสองครั้งมีผู้เสียชีวิตกว่า 300,000 คน ออพเพนไฮเมอร์รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งเพราะตามแผนการที่วางไว้ ระเบิดควรจะมีแค่ ‘Little Boy’ ที่เมืองฮิโรชิมา ไม่ควรจะมีระเบิดลูกที่สอง เป็นเปรียบเป็นตราบาปของเขาที่สร้างเทคโนโลยีแห่งความก้าวหน้า แต่พรากชีวิตของคนบริสุทธิ์ไปกว่าสามแสนคน
การเคลื่อนไหวของเขาหลังจากเหตุการณ์ทิ้งระเบิด เขาพยายามทำทุกวิธีทางให้อาวุธนี้ถูกแบนห้ามใช้งานอีกต่อไป บทบาทของเขาหลังจากนี้ค่อยๆ หายลงไปเรื่อยๆ ฉายาบิดาแห่งระเบิดปรมาณู เริ่มถูกเรียกหลังจากนี้เป็นต้นไป
ย้อนกลับไปช่วงก่อนโครงการแมนฮัตตัน ออพเพนไฮเมอร์ ไม่เคยสนใจเรื่องสังคมการเมืองมาก่อนในชีวิตเขา จนกระทั่งเขาพบว่าลูกศิษย์หลายคนของเขาไม่มีงานทำเนื่องจากพิษเศรษฐกิจ เขามีความสนใจในสังคมการเมืองมากยิ่งขึ้นจนกระทั่งโชคชะตาได้พาเขามาเจอกับ “รักแรกพบ”
จีน แทตล็อก(Jean Tatlock) หญิงสาวผู้เป็นจิตแพทย์ และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ‘สมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหรัฐอเมริกา’ ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เขาต้องสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ตราบาปที่พรากทุกสิ่งไปจากเขา
หลังจากเหตุการณ์การทิ้งระเบิดที่ญี่ปุ่น FBI สงสัยว่าออพเพนไฮเมอร์ เป็นสายลับโซเวียต และคอมมิวนิสต์ เขาถูกสอบสวนหลายต่อหลายครั้ง สาเหตุที่ทำให้ FBI เชื่อแบบนั้นเป็นเพราะคนรอบตัวของเขาล้วนเป็นคอมมิวนิสต์ ทั้งน้องชาย น้องสะใภ้ เพื่อนฝูง ไม่แปลกเลยที่เขาจะถูกเหมารวมไปด้วย
ท้ายที่สุดออพเพนไฮเมอร์ ได้รับข้อเสนอที่ทำให้เขาหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาทั้งหมด แต่ต้องแลกมาด้วยการลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณูแห่งสหรัฐอเมริกา เขาไม่ยอมทำให้เกิดการพิจารณาคดีขึ้น และเป็นที่น่าเศร้าในท้ายที่สุดเขาถูกถอดออกจากการเกี่ยวข้องกับงานในส่วนของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
มีคนเคยพูดไว้ว่า “ออพเพนไฮเมอร์ ไม่ใช่คอมมิวนิสต์หรอก เพียงแต่ว่าเขาหลงรักผู้หญิงที่มีแนวคิดเยี่ยงนั้น ทำให้เป็นตราบาปติดตัว และมันพรากทุกสิ่งไปจากเขา” ท้ายที่สุดข้อกล่าวหาเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ก็หมดไป แต่แลกมาด้วยการถูกขับไล่ออกจากงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการทำระเบิดในอนาคต
ออพเพนไฮเมอร์ ตรวจพบมะเร็งที่ลำคอ เป็นผลมาจากการสูบบุหรี่อย่างหนัก เขาพยายามสู้ด้วยการรักษาทางเคมีบำบัด และรังสี แต่มันก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ คริสต์ศักราช 1967 เขาได้เสียชีวิตลงที่บ้านของเขา เมืองพรินซ์ตัน รัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ปิดตำนานบิดาแห่งระเบิดปรมาณู
เป็นอย่างไรกันบ้างกับชีวประวัติที่น่าสนใจของ เจ. โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ บิดาแห่งระเบิดปรมาณู ผู้ซึ่งมีความเศร้าเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปจนเกิดผลกระทบต่อประเทศญี่ปุ่น เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่สร้างความก้าวหน้าให้แก่วงการวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก และมีเรื่องราวที่น่าสนใจ ในปัจจุบันชื่อของเขาก็ยังถูกนำมาพูดถึงอยู่เรื่อยๆ และมีการดัดแปลงเนื้อหามาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง “Oppenheimer” อีกด้วย
เขียนโดย ธนพนธ์ หัสกรรัตน์
Sources: https://www.britannica.com/biography/Albert-Einstein
J. Robert Oppenheimer