Type to search

Exclusive Interview สุพรรณี อำนาจมงคล ผู้จัดการประจำประเทศไทยของ Red Hat จาก Freedom สู่ Innovation ทำความเข้าใจแก่นแท้ของ Open Source และอนาคตในยุค AI

November 28, 2024 By Pakanut Tariyawong

“Open Source ไม่ใช่แค่ซอฟต์แวร์ฟรี แต่คือ Freedom Software เป็นอิสระที่ทุกคนจะมาแชร์องค์ความรู้และพัฒนาร่วมกัน” คำพูดนี้มาจากผู้บริหารที่อยู่ในวงการซอฟต์แวร์มากว่า 11 ปี สะท้อนให้เห็นมุมมองที่น่าสนใจของการพัฒนาซอฟต์แวร์ในยุคที่ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

Future Treds ได้คุยกับคุณสุพรรณี อำนาจมงคล ผู้จัดการประจำประเทศไทยของ  Red Hat ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ จะมีประเด็นไหนที่น่าสนใจบ้าง ตามไปดูด้วยกันได้เลย

เข้าใจความเป็น Open ที่แท้จริง

ลองนึกถึงน้ำก๊อกที่เราใช้กันทุกวัน – น้ำก๊อกฟรีไหม? ฟรี แต่คนส่วนใหญ่เลือกซื้อน้ำขวดราคา 7 บาท เพราะมีตราประทับรับรองความปลอดภัย และมีคนรับผิดชอบชัดเจน เช่นเดียวกับซอฟต์แวร์ที่มีทั้งเวอร์ชันฟรีที่ทุกคนใช้ได้ และเวอร์ชันที่มีการรับประกันคุณภาพ

Open Source จึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “ฟรี” หรือ “ไม่ฟรี” แต่เป็นเรื่องของ “Freedom” หรืออิสระในการพัฒนาและแบ่งปัน เปรียบเสมือนสูตรอาหารที่เชฟแชร์ให้คนอื่นนำไปทำต่อ ปรับแต่ง หรือพัฒนาให้ดีขึ้น ภายใต้เงื่อนไขที่ตกลงร่วมกัน

วิวัฒนาการของ Open Source: จากห้องแล็บสู่องค์กรระดับโลก

ย้อนกลับไป 10-20 ปีก่อน การพัฒนาซอฟต์แวร์ถูกจำกัดอยู่ในองค์กรปิด ทุกอย่างเป็นความลับทางการค้า นักพัฒนาต่างทำงานแยกส่วนกัน แต่เมื่อโลกเชื่อมต่อกันด้วยอินเทอร์เน็ต คำถามสำคัญคือ “ทำอย่างไรให้คนทั่วโลกมาช่วยกันพัฒนาซอฟต์แวร์ตัวเดียวกันได้?”

นี่คือจุดกำเนิดของ Open Source Community – ชุมชนที่เชื่อว่าการแบ่งปัน Source Code คือรากฐานของนวัตกรรม เพราะถ้าโค้ดถูกปิด การต่อยอดและทดสอบร่วมกันก็เป็นไปไม่ได้ ปัจจุบัน Fortune 500 กว่า 90% ใช้ Open Source Technology

แต่เมื่อองค์กรขนาดใหญ่ต้องนำ Open Source ไปใช้งานจริง คำถามสำคัญคือ “จะมั่นใจได้อย่างไรว่าระบบปลอดภัยและมีเสถียรภาพ?” จากความท้าทายนี้ จึงเกิดเป็น Enterprise Commercial Open Source ที่นำจุดแข็งของชุมชนมาผสานกับมาตรฐานระดับองค์กร

เราจะเห็นได้ว่าองค์กรใหญ่ๆ เริ่มมองเห็นคุณค่าของ Open Source มากขึ้น ไม่ใช่เพราะมันฟรี แต่เพราะมันให้อิสระในการพัฒนา สร้างนวัตกรรม และที่สำคัญ – มันมี Community ขนาดใหญ่ที่พร้อมจะพัฒนาและแก้ไขปัญหาร่วมกัน

ตัวอย่างความสำเร็จที่จับต้องได้ 

หนึ่งในความสำเร็จที่ชัดเจนของ Open Source คือในวงการธนาคารไทย โดยเฉพาะ Mobile Banking ทั้งหมดนี้ทำงานอยู่บน Open Source Infrastructure

ทำไมธนาคารซึ่งต้องการความปลอดภัยสูงถึงเลือกใช้ Open Source? คำตอบคือ Time to Market – ความเร็วในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า จากเดิมที่ต้องใช้เวลา 3-6 เดือนในการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ กลายเป็นแค่ไม่กี่อาทิตย์

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทั้งองค์กร ทั้งในแง่

  • People: การพัฒนาทักษะของทีม
  • Process: การปรับกระบวนการทำงาน
  • Technology: การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้

ความท้าทายของ Security 

หลายคนอาจกังวลว่า Open Source จะปลอดภัยหรือไม่ ความจริงคือ การที่โค้ดเปิดเผยกลับทำให้ช่องโหว่ถูกค้นพบและแก้ไขได้เร็วขึ้น โดยทีมงานมืออาชีพจะ:

  • ทดสอบความปลอดภัยก่อนปล่อยให้ใช้งาน
  • ปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น PCI
  • มีทีม Security คอยเฝ้าระวังและแก้ไขช่องโหว่
  • รับประกันการแก้ไขปัญหาสำคัญภายใน 24 ชั่วโมง

นี่คือเหตุผลที่ทำให้องค์กรขนาดใหญ่มั่นใจในการใช้ Enterprise Open Source แม้จะต้องมีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าเทียบกับมูลค่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง

เมื่อ AI มาถึง  Open Source ในยุคใหม่ ปรับตัวอย่างไร

Generative AI ได้เปลี่ยนโลกในเวลาแค่ 3 เดือน สิ่งที่เคยต้องใช้เวลา 10 ปีในการพัฒนา กลับเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีนี้เข้าถึงผู้ใช้มากขึ้น จนแทบทุกคนกลายเป็นผู้ใช้ AI โดยไม่รู้ตัว

ในด้าน Open Source กับ AI มีการพัฒนาใน 3 ทิศทางหลัก:

  • การทำให้ผลิตภัณฑ์เดิมฉลาดขึ้นด้วย AI
  • การเปิด Open Source AI Models ให้ชุมชนใช้และพัฒนา
  • การสร้าง Enterprise AI Platform สำหรับองค์กร

หนึ่งในความท้าทายของ AI คือต้นทุนในการ Train Model ที่สูงมาก การมี Open Source AI Models จึงช่วยให้นักพัฒนาที่มีทรัพยากรจำกัดสามารถนำโมเดลที่มีอยู่แล้วไปต่อยอดได้ โดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์

แต่คำถามสำคัญคือ “Use Case ที่เหมาะสมคืออะไร?” หลายองค์กรกำลังมองหาจุดที่ AI จะสร้างคุณค่าได้จริง ไม่ใช่แค่ตามกระแส เพราะแม้เทคโนโลยีจะพร้อม แต่การนำไปใช้ต้องคำนึงถึง:

  • ความคุ้มค่าทางธุรกิจ
  • ความพร้อมขององค์กร
  • ประเด็นด้านกฎหมายและจริยธรรม
  • การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล

การปรับตัวของ Developer ยุคใหม่

แม้ AI จะสามารถเขียนโค้ดได้ แต่บทบาทของ Developer ไม่ได้หายไป กลับต้องปรับตัวให้ทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในด้าน:

  • การ Guide AI ให้สร้างโค้ดที่มีคุณภาพ
  • การทำ Peer Review เพื่อตรวจสอบและพัฒนาโค้ด
  • การเข้าใจ Logic และออกแบบระบบ
  • การใช้ AI เป็นเครื่องมือเพิ่ม Productivity

การสร้างวัฒนธรรมองค์กรในยุค Open & AI 

ความท้าทายของการทำงานยุคใหม่ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีอย่างเดียว แต่อยู่ที่การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เหมาะสม โดยเฉพาะการทำงานข้าม Generation ตั้งแต่ Baby Boomer, Gen X, Y จนถึง Z

องค์กรที่ประสบความสำเร็จต้องมีวัฒนธรรม 4 ประการที่สอดคล้องกัน

  • Freedom: อิสระในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
  • Accountability: ความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์
  • Courage: ความกล้าที่จะคิดและทำสิ่งใหม่
  • Commitment: มุ่งมั่นสู่เป้าหมายร่วมกัน

ทั้ง 4 องค์ประกอบนี้ต้องทำงานร่วมกัน Freedom ที่ไม่มี Accountability จะกลายเป็นความวุ่นวาย Courage ที่ไม่มี Commitment จะไร้ทิศทาง Accountability ที่ไม่มี Courage จะไม่เกิดแรงบันดาลใจ

บทเรียนสำหรับผู้นำยุคใหม่ 

การเป็นผู้นำในยุค Open Source และ AI ต้องเข้าใจว่า:

  • ความล้มเหลวคือส่วนหนึ่งของนวัตกรรม
  • ต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับการทดลอง
  • การเรียนรู้ต้องเร็ว “Fail Fast, Learn Fast”
  • ต้องเปิดใจรับฟังไอเดียใหม่ๆ จากทุก Generation

สุดท้าย การใช้ Open Source ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของแนวคิดที่เชื่อว่า Innovation เกิดจากการแบ่งปันและร่วมมือกัน เช่นเดียวกับ AI ที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานและสร้างคุณค่าใหม่ๆ

ในโลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การตามให้ทัน แต่คือการสร้างรากฐานที่แข็งแรงผ่านการแบ่งปันความรู้ การเปิดรับสิ่งใหม่ และการทำงานร่วมกันข้ามทุกข้อจำกัด

Enterprise Open Source Infrastructure รากฐานความสำเร็จของธุรกิจยุคดิจิทัล

จากวันที่ทุกองค์กรต้องพัฒนาซอฟต์แวร์แยกส่วนกัน สู่ยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ความท้าทายของธุรกิจไม่ใช่แค่การมีซอฟต์แวร์ที่ทำงานได้ แต่ต้องพร้อมปรับเปลี่ยนและต่อยอดได้อย่างรวดเร็ว

Enterprise Open Source Infrastructure คือคำตอบสำหรับองค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือไปพร้อมกัน โดยเฉพาะในยุคที่ Time to Market เป็นปัจจัยสำคัญ การที่องค์กรสามารถพัฒนาและปรับระบบจาก 3-6 เดือน เหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์ คือความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ชัดเจน

แต่ทำไมต้องเป็น Enterprise Version? 🤔

หลายคนสงสัยว่าทำไมไม่ใช้ Community Version ที่ฟรี คำตอบคือ Enterprise Version ไม่ใช่แค่เครื่องยนต์ แต่เป็นรถยนต์ทั้งคันที่พร้อมใช้งาน ประกอบด้วย:

  • ระบบมอนิเตอริ่งแอพพลิเคชัน
  • การจัดการ Logging
  • การเชื่อมต่อกับระบบเครือข่าย
  • เครื่องมือสำหรับนักพัฒนา
  • การรับประกันและสนับสนุน

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ Ecosystem ที่แข็งแกร่ง โดยมีการรับรอง (Certification) กับ:

  • ฮาร์ดแวร์ชั้นนำเกือบทุกแบรนด์
  • ระบบปฏิบัติการ Windows
  • แอพพลิเคชันสำเร็จรูปหลัก
  • โซลูชันความปลอดภัยต่างๆ

นี่หมายความว่าองค์กรสามารถมั่นใจได้ว่าระบบทั้งหมดจะทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น และได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการโดยตรง

ในด้านความปลอดภัย มีการทดสอบก่อนปล่อยให้ใช้งาน ปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรม และมีทีม Security เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง หากพบปัญหาสำคัญ จะได้รับการแก้ไขภายใน 24 ชั่วโมง

ที่สำคัญ เมื่อมีการอัพเดทเวอร์ชันใหม่ องค์กรไม่ต้องกังวลว่าส่วนประกอบต่างๆ จะทำงานร่วมกันได้หรือไม่ เพราะทุกอย่างผ่านการทดสอบและรับรองมาแล้ว

ทำไม 90% ของ Fortune 500 จึงเลือกใช้ Red Hat

ตัวเลข 90% ของบริษัทใน Fortune 500 ที่ใช้เทคโนโลยี Red Hat ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เมื่อมองลึกลงไป จะเห็นว่าองค์กรระดับโลกต่างมองหาสิ่งที่มากกว่าแค่ซอฟต์แวร์ พวกเขาต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้ และพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลง

ตัวอย่างความสำเร็จในประเทศไทย 🏦

เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ประเทศไทยเคยติดอันดับ 3 ของโลกด้าน e-Payment รองจากอินเดียและจีนเท่านั้น โดยถ้าคิดตามสัดส่วนประชากร ประเทศไทยมีอัตราการใช้งานสูงที่สุด

ปัจจัยสำคัญคือการที่ธนาคารชั้นนำของไทยเลือกใช้ Open Source Infrastructure เป็นรากฐาน ทำให้สามารถพัฒนาและขยายระบบได้อย่างรวดเร็ว รองรับการเติบโตที่ก้าวกระโดด

การันตีคุณภาพระดับโลก 🌏

นอกจากการได้รับความไว้วางใจจาก Fortune 500 แล้ว ผลิตภัณฑ์หลักยังติดอันดับใน Magic Quadrant ของ Gartner ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความเป็นผู้นำในตลาดระดับโลก

ที่สำคัญ เมื่อองค์กรเลือกใช้ Enterprise Open Source พวกเขาไม่ได้แค่ซื้อซอฟต์แวร์ แต่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง มีการแลกเปลี่ยนความรู้ และการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก

การเลือกใช้ Enterprise Open Source จึงไม่ใช่แค่การตัดสินใจทางเทคนิค แต่เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยให้องค์กรเติบโตได้อย่างยั่งยืน พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

Red Hat AI Strategy: รากฐานสู่อนาคตของ Enterprise AI

ในยุคที่ Generative AI เปลี่ยนโลกในเวลาเพียง 3 เดือน Red Hat ได้วางกลยุทธ์ด้าน AI ที่ครอบคลุม 3 ด้านหลัก เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง

  1. การพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมให้ฉลาดขึ้น 🤖 ผลิตภัณฑ์หลักอย่าง Enterprise Linux, OpenShift และ Ansible จะได้รับการเพิ่มความสามารถด้าน AI เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถจัดการระบบได้ง่ายขึ้น และมีเครื่องมือช่วยในการบริหารจัดการที่ชาญฉลาดมากขึ้น
  2. การสนับสนุน Open Source AI Community 🌐 ด้วยความร่วมมือกับ IBM Watson เกิดเป็นโมเดล AI แบบ Open Source ที่ชื่อว่า Granite ภายใต้ Apache License ให้นักพัฒนาทั่วโลกสามารถนำไปต่อยอดได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องต้นทุนในการ Train Model ที่สูง
  3. Enterprise AI Infrastructure 🏢 Red Hat Enterprise AI เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนา AI Model บนระบบของตัวเอง รองรับทั้ง On-premise และ Hybrid Cloud เพื่อตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัยของข้อมูล

ความแตกต่างที่เหนือกว่า ⭐

จุดเด่นของ Red Hat Enterprise AI อยู่ที่การเป็น Application Platform ที่สมบูรณ์ ไม่ใช่แค่ Container Engine เท่านั้น ประกอบด้วย:

  • ระบบติดตามและจัดการ Application
  • การจัดการ Logging
  • การเชื่อมต่อกับ Network Infrastructure
  • เครื่องมือสำหรับ Developer
  • การรับประกันและสนับสนุน

สำหรับองค์กรที่กังวลเรื่อง Data Privacy Red Hat มีโซลูชันที่รองรับการ Train Model แบบ On-premise ทำให้ข้อมูลสำคัญไม่ต้องออกนอกองค์กร

Red Hat ไม่ได้มองว่า AI จะมาแทนที่มนุษย์ แต่จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่ม Productivity และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ โดยยังคงยึดมั่นในหลักการของ Open Source ที่เน้นความโปร่งใส การแบ่งปัน และการพัฒนาร่วมกัน