“เมื่อคุณเริ่มเป็นผู้จัดการหรือผู้บริหารระดับกลาง การทำงานเก่งอย่างเดียว อาจไม่พอเพียงต่อการก้าวหน้าไปสู่ผู้บริหารระดับสูง (Top 1-4% ของพนักงานในองค์กร)”
ปกติแล้ว การเติบโตในหน้าที่การงานขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย การที่คุณมีผลงานที่ดี แต่ไม่มีใครเห็น อาจไม่ทำให้คุณก้าวไปถึงฝันได้ เมื่อเทียบกับคนที่มีผลงานเท่ากัน แต่มีโอกาสในการแสดงความสามารถให้หัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานได้เห็นมากกว่า ย่อมได้โอกาสในการเติบโตในองค์กรสูงกว่า
บทความนี้ ผมขอกล่าวถึงการทำ “Personal Branding” ให้ตัวเองให้มีโอกาสให้ได้ “แสง” และสร้างความประทับใจให้กับผู้นำในองค์กร เป็น 3 สิ่ง P.I.E. ที่คุณสามารถสร้างแบรนด์ของตัวคุณให้โดดเด่น ประกอบด้วย
1. Performance (ผลงานของคุณ)
ผลงาน คือ สิ่งสำคัญที่สุด เป็นใบเบิกทางไปสู่ความสำเร็จหรือเป็นตั๋วที่จะได้สิทธิ์ในการเข้ารอบต่อไป ซึ่งการที่มีผลงานที่ดี แต่ไม่มีใครเห็น เท่ากับคุณก็มีโอกาสน้อยกว่าคนผลงานที่มีเท่ากัน แต่มีผู้ใหญ่ในองค์กรเห็นถึงผลงานนั้น
อีกด้าน การที่ไม่มีผลงาน แต่พยายามจะ “สร้างภาพ” ว่าคุณมีผลงานที่ดีเด่นมามากมายนั้น อาจจะมีคนเชื่อบ้างช่วงแรก แต่ในระยะยาว ความเป็นจริงจะเปิดเผยออกมาให้ทุกคนเห็น ซึ่งการที่คนจะประสบความสำเร็จได้ ต้องมีดีที่แก่น ไม่ใช่ผลงานแบบผิวเผินเท่านั้น
ฉะนั้น การที่คุณมีความเก่งกาจหรือชำนาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ย่อมส่งผลต่องานและชื่อเสียงใน “วงการ” ของคุณ ซึ่งในการรีวิวผลงาน หากคุณสามารถได้แสงผลงานกับ 1-up Manager หรือ นายของนายคุณ จะทำให้มีคนรู้จักผลงานของคุณมากขึ้น และต้องอย่าลืมว่า ผู้ที่ตัดสินใจอนาคตของคุณอาจจะเป็น ผู้บริหารระดับ C-Level
2. Image (ภาพจำที่คนอื่นนึกถึงคุณ)
บ่อยครั้งที่คุณกำลังจะย้ายงาน เพื่อนร่วมงานของคุณรู้เรื่องราวดีๆ (และไม่ดี) ของคุณ ก่อนที่เขาจะรู้จักคุณเสียอีก เพราะ Image ของคุณ จะนำหน้าคุณไปหนึ่งก้าวเสมอ
บางครั้งอาจไม่ยุติธรรม สำหรับกรณีที่เป็นเรื่องในแง่ลบ ซึ่งทำให้เพื่อนร่วมงานใหม่ของคุณมีอคติกับตัวคุณได้ อาจเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ดีเท่าไร ในทางตรงกันข้าม ถ้าชื่อเสียงของคุณดี ในฐานนะคนที่มีมาตรฐานงานสูง ลูกน้องของคุณอาจจะเตรียมตัวทำงานล่วงหน้าไว้ให้คุณ โดยที่คุณเองยังไม่ได้เอ่ยปากร้องขอด้วยซ้ำ
การรักษาชื่อเสียงจึงสำคัญมาก ในทุกวัน ทุกการกระทำ และพฤติกรรมที่คุณแสดงต่อเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านาย มีผลต่อภาพจำของคุณ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ฉะนั้น อย่าแสดงนิสัยที่ไม่ดีออกมาต่อหน้าผู้อื่นจะดีกว่า
3. Exposure (การได้โอกาสแสดงฝีมือ)
การที่คุณมีภาพลักษณ์ที่ดี ผลงานโดดเด่น แต่ไม่มีโอกาสที่คนมาเห็นในเวลามี่เหมาะสม คุณอาจจะไม่ได้เฉิดฉายเท่าที่ควร ฉะนั้นเมื่อมีโอกาส “ได้แสง” ต่อหน้าผู้ใหญ่ในองค์กรนั้น คุณต้องทำให้เต็มที่ การเตรียมตัวที่ดี สามารถสร้างความประทับใจที่เกินความคาดหวังอีกด้วย
การได้โอกาสจึงสำคัญมาก เพราะการที่บางคนได้ทำงานใกล้ชิด CEO หรือ ผู้บริหารระดับสูง ทำให้มีโอกาสที่ผลงานจะไปเข้าตาผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจต่อการเลื่อนขั้นหรืออัตราความก้าวหน้าของคนคนนั้นได้นั่นเอง
ในขณะเดียวกัน ถ้าคุณพลาดในจังหวะสำคัญ ก็เสี่ยงที่จะถูกตัดอนาคตได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน โอกาสย่อมแฝงความเสี่ยงเสมอ คุณจึงต้องทำงานหนักในการเตรียมการนั้นให้ดีที่สุด
คำแนะนำ
การที่คุณยังมีประสบการณ์น้อย ต้องเน้นทำผลงานที่ดีไว้ให้มาก (Performance) และเมื่อคุณเติบโตขึ้นในองค์กร การรักษาภาพลักษณ์ (Image) จะมีความสำคัญมากขึ้นเป็นลำดับ หากเทียบกับการแข่งขันฟุตบอล การได้แสดงผลงานในเวลาที่เหมาะสม (Exposure) จะเสมือนการยิงจุดโทษตัดสิน
กล่าวคือ มีผู้ชมเฝ้ามองอยู่มาก มีความกดดันสูง ถ้าคุณฝึกฝนมาเป็นอย่างดีและยิงเข้าอย่างสม่ำเสมอ จะเป็นสิ่งที่จะตัดสินว่าใครจะ “ผ่านรอบคัดเลือก” เทียบกับ “คู่แข่ง” คนอื่นๆ ในองค์กรนั่นเอง
“ผลงานจะเป็นใบเบิกทางของคุณ ในการก้าวหน้าในอาชีพการงาน ภาพจำที่ดี และได้ ‘แสง’ ในจังหวะที่เหมาะสม จะทำให้คุณไปได้ไกลและมี ‘Personal Branding’ ที่ดี”
สุดท้ายขอยกคำกล่าวของ พี่เตา บรรยง พงษ์พานิช ที่กล่าวไว้ในรายการ Have a Nice Day ของคุณเอ๋นิ้วกลม ว่า “เมื่อผู้นำทำ P.I.E. ของคุณได้ดีแล้ว ที่เหลือคุณควรให้ Credit ทีมงานของคุณ ส่งเสริมให้ทุกคนได้มีเวทีในการแสดงผลงานอย่างเต็มที่ นี่แหละคือผู้นำที่แท้จริง”