กลายเป็นปรากฏการณ์เขย่าโซเชียลอีกครั้ง หลังจากที่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรียม (Siam Discovery The Exploratorium) ได้เปิดให้พรีออเดอร์กระเป๋ายอดฮิตสัญชาติเกาหลีอย่าง ‘คาร์ลิน (Carlyn)’ บรรดามิตรรักนักช้อปชาวไทยก็ให้ความสนใจกันอย่างล้นหลาม โดยล่าสุดมีคนมารอต่อคิวกว่า 1,000 คน แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ บางคนถึงกับลงทุนพกที่นอน หมอน เสื่อมานอนรอรับบัตรคิวหน้าห้างสรรพสินค้าด้วย
ข้อมูลจากแหล่งข่าว ไกด์นำทัวร์ในเกาหลีผู้หนึ่งเผยว่า แม้กระเป๋า Carlyn จะมีต้นกำเนิดมาจากเกาหลี แต่จริงๆ แล้ว ถือเป็นไอเท็มที่หาซื้อได้ทั่วไป ไม่ได้ฮอตฮิตติดลมบนแต่อย่างใด แตกต่างจากไทยที่หลายคนยอมทุ่มทุนพรีออเดอร์ในราคาที่สูงกว่าท้องตลาด และสละเวลาอันล้ำค่าไปต่อคิวเลยทีเดียว
แล้วกระเป๋า Carlyn มีจุดเริ่มต้นมาจากไหน ทำไมถึงฮิตติดลมบนจนนักช้อปยอมต่อคิวข้ามคืน? บทความนี้ Future Trends จะมาวิเคราะห์ให้ดูกัน
จาก ‘ไอดอลเกาหลี’ สู่ ‘ของมันต้องมี!’
ด้วยดีไซน์ที่ดูนุ่มนิ่ม มีลักษณะคล้ายกับปุยเมฆบนท้องฟ้า ความจุที่เยอะ น้ำหนักเบา สีสันสวยงาม ไซส์ที่หลากหลาย และสามารถแมตช์ได้กับทุกลุค ทุกสไตล์ จึงทำให้หลายคนอดใจไม่ไหว แน่นอนว่า หนึ่งในนั้นก็มีศิลปินของเกาหลีเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นเวนดี้ กับซึลกิ Red Velvet หรือแม้กระทั่งตัวท็อปของวงการที่หยิบจับอะไรก็กลายเป็นกระแสฮือฮาไปหมดอย่างเจนนี่ Blackpink ก็ด้วย โดยหลังจากบรรดาคนดังซื้อแล้วเซลฟี่อวดโฉมลงบนโลกโซเชียลก็ส่งผลให้หลายคนอยากได้ อยากมีตามๆ กัน
ตัวแม่เขาใช้กัน ‘ตัวเราก็อยากใช้บ้าง’
แม้ราคากระเป๋า Carlyn จะเริ่มต้นที่หลักพัน ซึ่งหากพูดกันตามเนื้อผ้า ท่ามกลางเศรษฐกิจถดถอยเช่นนี้ก็เป็นราคาที่เอาเรื่องในสายตาบางคน แต่นี่ก็ไม่ใช่อุปสรรคแต่อย่างใด เพราะสุดท้ายแล้ว กระเป๋า Carlyn ก็ยังคงแรงดี ไม่มีตก ทุบยอดขายการ Sold Out ถล่มทลายได้สำเร็จ
โดยส่วนหนึ่งมีต้นตอมาจากผู้มีอิทธิพลทางความคิดหรือดารา คนดัง อินฟลูเอนเซอร์ที่เซลฟี่กับกระเป๋าลงบนโซเชียลจนได้รับความสนใจ และการแชร์แบบปากต่อปาก (Word of Mouth) ว่า ดีงาม ไม่ใช่แค่ของที่ต้องใช้อย่างเดียว แต่เป็น ‘ของที่ต้องมี’ ไว้ในครอบครองด้วย ขณะเดียวกัน แบรนด์เองก็ได้พื้นที่สื่อ โดยไม่ต้องเสียเงินโปรโมตแม้แต่บาทเดียว หรือที่เรียกว่า ‘Earned Media’ เช่นกัน
‘Timeless Design’ มนต์เสน่ห์ที่ไร้กาลเวลา
ภายใต้ความสำเร็จที่ปังปุริเย่นี้ แท้จริงแล้ว อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญนั่นก็คือ ‘การออกแบบที่ไร้กาลเวลา (Timeless Design)’ ที่เหมาะกับการใช้งาน ไม่ว่าจะหยิบมาใช้เมื่อไร นานแค่ไหน หรือวาระอะไรก็มั่นใจได้ว่า จะไม่ตกยุคอย่างแน่นอน
‘Cute Marketing’ พลังความน่ารักชนะทุกสิ่ง!
ไม่ว่าแบรนด์จะเจตนาหรือไม่ก็ตาม แต่ความนุ่มนิ่ม น่ารักน่าเอ็นดูของดีไซน์ได้กลายเป็น ‘จุดแข็ง’ โดยปริยาย หรือที่เรียกว่า ‘การตลาดแบบเน้นขายความน่ารัก (Cute Marketing)’ กล่าวคือ เวลาเราประมวลผล ตีความสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ว่า “น่ารัก” จากนั้น สมองจะหลั่งสารแห่งความสุข ทั้งฮอร์โมนโดปามีน (Dopamine) และออกซิโทซิน (Oxytocin) ออกมา ส่งผลให้อารมณ์ดี มีความสุข
อีกทั้ง ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการซื้อมากขึ้น และบางครั้งต่อให้ราคาจะสูงลิ่ว แต่เมื่อโดนดาเมจความน่ารักมัดใจเข้าแล้ว ก็ยอมเปย์ให้กับสินค้านั้นอยู่ดี ที่เห็นได้ชัดเลย เช่น ดินสอลายคิตตี้ ปลอกหมอนลายดัมโบ้ และกระเป๋า Gucci ลายโดราเอมอน แต่นอกเหนือจากนี้ ก็ยังรวมถึงพี่ก้อน มาสคอตของ Bar B Q Plaza และกระเป๋า Carlyn ด้วย
เรียกได้ว่า ต่อให้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหน การตลาดนี้ก็ยังคงได้ผลดีเสมอ สอดคล้องกับที่นักการตลาดคนหนึ่งเคยให้คำนิยามไว้ว่า “Cuteness sells better than sex.” เพราะทุกคนต่างต้องใช้สมองในการดำรงชีวิต และจนแล้วจนรอดยังไง หากเรายังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ ก็ต้องแพ้ทางให้กับความน่ารักในที่สุด…
‘Scarcity Marketing’ เพราะมีไม่กี่ใบ คุณค่าเลยสูง
ในความเป็นจริง กระเป๋า Carlyn ไม่ได้ทำงานแค่บนความน่ารัก แต่ยังรวมถึง ‘ความขาดแคลน’ ด้วย ถ้าใครติดตามข่าว น่าจะพอทราบว่า กระเป๋า Carlyn ที่สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรียมเปิดให้จับจองนี้ บางสีก็มีจำนวนจำกัด และเป็นสีพิเศษแบบ Limited Edition มีแค่ไม่กี่ใบเท่านั้น โดยการตลาดทำนองนี้เรียกว่า ‘การตลาดแบบขาดแคลน (Scarcity Marketing)’ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานการโหยหาในสิ่งที่หายาก (Scarcity Effect) นั่นเอง
ไม่ว่าคนที่ตั้งแคมป์นอนรอต่อคิวหน้าสยามดิสคัฟเวอรีจะซื้อกระเป๋า Carlyn ไปใช้เอง หรือเจตนาเอาไปขายอัปราคาต่ออีกทอดหนึ่ง แต่ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ความสำเร็จของแบรนด์ได้ดี คงต้องติดตามกันต่อว่า Carlyn จะขึ้นแท่นของมันต้องมีไปตลอดกาล หรือที่สุดแล้ว จะมาเร็วไปเร็ว กลายเป็นไอเท็มธรรมดาแบบเดียวกับกระเป๋าอเนลโล (Anello) ที่เมื่อหลายปีก่อนเคยฮิตติดลมบนมากๆ กันแน่?
Sources: https://bit.ly/3XscyRn