เมื่อ ‘บล็อกเชน’ (Blockchain) ต้องมาคู่กับ ‘คริปโทเคอร์เรนซี’ (Cryptocurrency) เสมอ แล้วมันมีจริงๆ เหรอ บล็อกเชนที่ปลอดคริปโทฯ แบบ 100 เปอร์เซ็นต์?
ถึงแม้ว่า จุดเริ่มต้นของบล็อกเชน จะเกิดจากความต้องการที่จะสร้างระบบทางการเงินแบบกระจายอำนาจ และไม่ขึ้นกับตัวกลาง จนทำให้เกิดสกุลเงินดิจิทัลเจ้าตลาดอย่าง ‘บิตคอยน์’ (Bitcoin) ขึ้นมา แต่ในปัจจุบัน บทบาทของบล็อกเชนไม่ได้ถูกกำจัดแค่เรื่องทางการเงินเท่านั้น เพราะมันยังถูกนำมาใช้เป็นระบบฐานข้อมูล (database) เพื่อยกระดับการทำงานในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงการทำระบบ Smart Contract โปรแกรมที่จะเข้ามาพลิกโฉมการทำธุรกรรมทางการเงินในแบบที่ธนาคารต้องชิดซ้ายไปเลย
และการที่บทบาทของบล็อกเชนเริ่มไม่ได้ถูกผูกติดกับวงการคริปโทฯ อีกต่อไป ทำให้รัฐบาลจีนเล็งเห็นโอกาสที่จะทำให้ตัวเองขึ้นแท่นเป็น ‘เบอร์หนึ่ง’ ด้านเทคโนโลยี…
สังคมนิยมแบบจีนกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
จีนอยู่ภายใต้การนำของรัฐบาลจากพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีกรอบการวางนโยบายต่างๆ ในคราบของความเป็น ‘สังคมนิยม’ ที่มีความเป็น ‘ทุนนิยม’ อยู่เต็มสูบ ซึ่งนโยบายเหล่านี้ ทำให้จีนกลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
แต่ความสำเร็จเพียงช่วงเวลาหนึ่ง ไม่อาจการันตีถึงความสำเร็จในระยะยาวได้
ดังนั้น การเดินหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีของรัฐบาลจีนตามความเชื่อมั่นของ ‘สี จิ้นผิง’ ผู้นำจีนคนปัจจุบัน จึงได้เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ โดยในปี 2019 สีได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มีใจความว่า ‘ความก้าวหน้าของประเทศขึ้นอยู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นหัวใจหลักได้อย่างอิสระ’ และนั่นก็คือการแสดงเจตจำนงค์ถึงการนำเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่างบล็อกเชนเข้ามาใช้ในจีนอย่างเป็นทางการ
อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า จีนคือเจ้าแห่ง ‘การแบน’ เทคโนโลยีสำเร็จรูปจากประเทศอื่นๆ ทั้งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เสิร์ชเอนจิน ระบบการรับชำระเงิน รวมถึงเหรียญคริปโทฯ สกุลอื่นที่ไร้ตัวกลาง 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น บล็อกเชนของรัฐบาลจีนจะไม่ใช่การหยิบยืมระบบที่ใช้กันอยู่ แต่คือการสร้างใหม่ทั้งหมดโดยเริ่มตั้งแต่ศูนย์ และในปี 2022 ความสำเร็จของบล็อกเชนสัญชาติจีน ก็ดูจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว…
‘BSN’ หมุดหมายใหญ่ของรัฐบาลจีนในการก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งด้านเทคโนโลยี
Blockchain-based Service Network (BSN) หรือบล็อกเชนสัญชาติจีนที่เกิดจากการพัฒนาโดยบริษัท Red Date Technology ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลจีนและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่างๆ หน้าที่หลักของ BSN ก็คือการเป็นระบบคลาวด์ (Cloud) ที่เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆ ภายในจีนเท่านั้น และจะไม่มีการซื้อขายเหรียญคริปโทฯ บนบล็อกเชนนี้เด็ดขาด
หากพูดกันตามตรง BSN ดูจะมีคอนเซปต์ที่ต่างจากบล็อกเชนทั่วไปอยู่มากเลยทีเดียว และความแตกต่างนี้ จะทำให้ทิศทางของ BSN ในอนาคตเป็นอย่างไร? วันนี้ เราจึงอยากชวนทุกคนมาร่วมวิเคราะห์ไปด้วยกัน
หนทางสู่การเติบโตของ BSN ถูกสกัดกั้นจากหลายช่องทาง
อย่างที่กล่าวไปในตอนต้นว่า BSN เกิดจากความต้องการในการสร้างบล็อกเชนเพื่อใช้ภายในประเทศของรัฐบาลจีน ทำให้ BSN กลายเป็นบล็อกเชนที่มีคอนเซปต์ผิดเพี้ยนจากปกติไปมาก เพราะต้องมีการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางตามกฎหมายของจีน
ซึ่งการรวมอำนาจไว้เช่นนี้ ทำให้การพัฒนาระบบหรือการเพิ่มฟังก์ชันที่น่าสนใจในแต่ละครั้ง ต้องผ่านการตัดสินใจจากรัฐบาลจีนด้วย และต่อให้บริษัทคิดจะทำกำไรโดยใช้การทำธุรกิจแบบ Subscription Model อย่างการปล่อยเช่าระบบเป็นรายเดือนหรือรายปีกับบริษัทในประเทศอื่นๆ ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลจีนแต่เพียงผู้เดียว
หากเปรียบเทียบกับบล็อกเชนทั่วไปที่มีการกระจายอำนาจ และไม่ขึ้นกับตัวกลางใดๆ ก็ถือว่า BSN ยังเสียเปรียบกว่ามาก เพราะการพัฒนาระบบแต่ละครั้ง สามารถทำได้ทันทีตามแต่ที่ทีมพัฒนาจะเห็นสมควร ซึ่งนี่คือการเพิ่มโอกาสในการพัฒนาระบบให้ดีกว่าเดิมอยู่เสมอ
การต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างธุรกิจคลาวด์จากสองขั้วมหาอำนาจ
‘อนาคตคือสิ่งที่ไม่แน่นอน หากรัฐบาลจีนเกิดเปลี่ยนใจ BSN อาจกลายเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของประเทศก็เป็นได้’
การที่หน้าที่หลักของ BSN คือระบบคลาวด์ ทำให้มันมีความแข็งแกร่งอยู่ในตัว เพราะระบบคลาวด์คือสิ่งที่หลายๆ บริษัทจากทุกอุตสาหกรรมต้องการใช้งาน เพื่อเก็บข้อมูลในปริมาณมหาศาล รวมถึงพัฒนาไปสู่การสร้าง ‘บิ๊กดาต้า’ (Big Data) หรือขุมทรัพย์ข้อมูลอันล้ำค่าที่จะทำให้เส้นทางการทำธุรกิจมีแต่ใช่กับใช่
ดังนั้น หากมีการพัฒนา BSN ให้กลายเป็นระบบคลาวด์มากประสิทธิภาพที่บริษัทใดๆ ก็อยากใช้ BSN อาจกลายเป็นระบบคลาวด์ที่สามารถดิสรัปต์ (disrupt) ส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) และต่อกรกับเจ้าตลาดเดิมในสหรัฐฯ อย่างแอมะซอน (Amazon) หรือกูเกิล (Google) ได้อย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่า ในปัจจุบัน หนทางการสร้างผลกำไรจาก BSN จะยังไม่ค่อยชัดเจน และดูจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของรัฐบาลจีนมากกว่า แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้ทันที หลังจากที่การพัฒนา BSN ประสบความสำเร็จ และกลายเป็นโครงข่ายหลักของจีน ก็คือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีนจะถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น และจะทำให้จีนกลายเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจที่ยากต่อการถูกโค่นล้มได้
คงต้องจับตามองถึงความเคลื่อนไหวนี้กันต่อไปในอนาคตว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับ BSN ภายใต้การนำของจีน
Sources: https://cnb.cx/3MA6nGv
https://bit.ly/3G6Zz0r
https://bit.ly/3MA6v8X