อนาคต AI อีก 5 – 10 ปี จะเป็นอย่างไร อ่านจดหมายฉบับเต็มของ ‘บิล เกตส์’ ที่บรรยายไว้โดยละเอียด

Share

เผยรายละเอียดจดหมายฉบับเต็มความยาว 7 หน้า ของ ‘บิล เกตส์’ มหาเศรษฐีใจบุญผู้ก่อตั้งบริษัท Microsoft ที่เขียนทำนายอนาคตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไว้อย่างรอบด้าน ทั้งด้านมืดและด้านสว่างของ AI

จดหมายฉบับนี้เผยแพร่เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2023 โดยใช้หัวข้อว่า ‘ยุคของ AI ได้เริ่มขึ้นแล้ว’ (The Age of AI has begun) รายละเอียดของเนื้อหา และมุมมองของชายผู้คร่ำหวอดในโลกเทคโนโลยีมายาวนานอย่างบิล เกตส์ มีอะไรบ้าง Future Trends แปลมาให้อ่านแบบเต็มๆ จุใจ โดยเนื้อหามีดังต่อไปนี้

“ยุคของ AI ได้เริ่มขึ้นแล้ว

ปัญญาประดิษฐ์สร้างการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงไม่ต่างจากโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ต

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมเห็นการเกิดขึ้นของเทคโนโลยี 2 ครั้ง ซึ่งมองว่าเป็นการปฏิวัติ

ครั้งแรกในปี 1980 ตอนรู้จักกับ ยูสเซอร์ อินเตอร์เฟซ ที่เป็นกราฟฟิก ซึ่งเป็นใบเบิกทางของระบบปฏิบัติการณ์ยุคใหม่ทุกระบบ รวมถึง Windows ตอนนั้นผมนั่งอยู่กับ ชาร์ลส ซีมอนยี (Charles Simonyi) โปรแกรมเมอร์ผู้ปราดเปรื่อง เขาเอาตัวอย่างผลงานมาอวด และเราก็เริ่มระดมความคิดกันทันทีว่า เราสามารถนำสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่แสนเป็นมิตรกับผู้ใช้นี้ไปทำอะไรกับระบบประมวลผลได้บ้าง?

สุดท้ายแล้ว ชาร์ลสได้เข้ามาร่วมงานกับ Microsoft และ Windows ก็กลายเป็นกระดูกสันหลังของ Microsoft ส่วนความคิดที่เรามีหลังจากได้เห็นตัวอย่างในวันนั้น ช่วยกำหนดวาระของบริษัทมาตลาดระยะเวลา 15 ปี นับแต่นั้นมา

เซอร์ไพรส์ใหญ่ครั้งที่ 2 เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ผมประชุมกับทีมงาน OpenAI มาตั้งแต่ปี 2016 และประทับใจในความคืบหน้าที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ในช่วงกลางปี 2022 ผมตื่นเต้นกับผลงานของพวกเขามากจนต้องท้าให้ฝึกปัญญาประดิษฐ์ทำข้อสอบ Advanced Placement (แบบทดสอบความรู้นักเรียน ม.ปลายในอเมริกา ซึ่งใช้เนื้อหาระดับอุดมศึกษา) ในวิชาชีววิทยา

ผมท้าให้เขาทำให้ AI สามารถตอบคำถามที่ไม่เคยเรียนรู้มาแบบเฉพาะเจาะจงให้ได้ (ผมเลือกข้อสอบ AP ชีววิทยา เพราะข้อสอบนี้เป็นมากกว่าแค่การสำรอกข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ง่ายๆ ออกมา มันถามให้คิดเชิงวิพากษ์เกี่ยวกับชีววิทยา) ผมบอกไปว่า ถ้าคุณทำได้ นั่นเท่ากับว่าคุณทำได้สำเร็จจริงๆ

ผมคิดว่า คำท้านั้นจะทำให้พวกเขาต้องยุ่งวุ่นวายไปอีก 2 หรือ 3 ปี แต่พวกเขาทำได้ภายในเวลาแค่ 2 – 3 เดือนเท่านั้น

ผมพบกับพวกเขาอีกครั้งในเดือนกันยายน และถึงกับอึ้งตอนเห็นเขาถาม GPT ที่เป็นโมเดล AI ด้วยคำถามปรนัยจากข้อสอบชีววิทยาของ AP จำนวน 60 ข้อ และมันตอบถูกถึง 59 ข้อ

นอกจากนั้น มันยังตอบคำถามแบบปลายเปิดในข้อสอบอีก 6 ข้อได้ยอดเยี่ยม เรามีผู้เชี่ยวชาญคนนอกมาให้คะแนนบททดสอบนี้ และ GPT ได้ 5 ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ เทียบเท่าเกรด A หรือ A+ ในคอร์สชีววิทยาระดับอุดมศึกษาเลยทีเดียว

ทันทีที่มันทำข้อสอบผ่าน เราถามคำถามที่ไม่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ต่ออีกว่า “คุณจะพูดอะไรกับพ่อที่มีลูกล้มป่วยอยู่” มันตอบมาได้น่าคิดชนิดที่บางทียังดีกว่าคำตอบของพวกเราเกือบทั้งหมดในห้องนี้ด้วยซ้ำ ประสบการณ์ทั้งหมดนี้มันน่าประทับใจสุดๆ

ผมรู้เลยว่า ผมเพิ่งได้เห็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่เจอกับยูสเซอร์ อินเตอร์เฟซ ที่เป็นกราฟฟิกมา

สิ่งนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ผมนึกถึงทุกเรื่องที่ AI สามารถทำได้ในอีก 5 – 10 ปีข้างหน้า

พัฒนาการของ AI เปรียบเหมือนรากฐานของการถือกำเนิดของไมโครโปรเซสเซอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์บุคคล อินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์เคลื่อนที่ มันจะเปลี่ยนวิธีการทำงาน เรียนรู้ ท่องเที่ยว การดูแลสุขภาพ และการติดต่อสื่อสารระหว่างกันของผู้คน อุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งองคาพยพจะเปลี่ยนแปลงรอบๆ สิ่งนี้ ธุรกิจจะจำแนกตัวเองด้วยวิธีการใช้งานมันได้ดีเพียงใด

ทุกวันนี้งานประจำของผมคือการทำเพื่อสังคม และผมกำลังครุ่นคิดว่า AI นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิผลให้ผู้คนแล้ว มันจะสามารถลดความเหลื่อมล้ำบางอย่างที่รุนแรงในโลกนี้ได้อย่างไร

ความเหลื่อมล้ำที่แย่ที่สุดในโลกคือเรื่องสุขภาพ มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เสียชีวิตวันละ 5 ล้านคน ลดลงจาก 10 ล้านคนเมื่อ 2 ทศวรรษก่อน แต่ยังคงเป็นจำนวนที่มากจนน่าตกใจ เด็กเกือบทั้งหมดนี้เกิดในประเทศยากจน และเสียชีวิตจากสาเหตุที่ป้องกันได้ เช่น ท้องร่วง หรือมาลาเรีย มันยากที่จะจินตนาการถึงการใช้งาน AI มากไปกว่าการช่วยชีวิตเด็กๆ

ในสหรัฐอเมริกา โอกาสลดความเหลื่อมล้ำที่ดีที่สุดคือการพัฒนาการศึกษา โดยเฉพาะต้องแน่ใจว่า นักเรียนประสบความสำเร็จในวิชาคณิตศาสตร์ หลักฐานแสดงให้เห็นว่า การมีทักษะคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานจะช่วยให้นักเรียนประสบความสำเร็จ ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกอาชีพอะไรต่อไปในอนาคต แต่ความสำเร็จในวิชาคณิตศาสตร์กลับลดลงทั่วประเทศ โดยเฉพาะในหมู่คนผิวดำ คนเชื้อสายละติน และนักเรียนผู้มีรายได้น้อย เทรนด์นี้ AI สามารถช่วยพลิกฟื้นได้

อีกหัวข้อ คือ เรื่องสภาวะอากาศแปรปรวน ซึ่งผมเชื่อว่า AI สามารถทำให้โลกมีความเสมอภาคมากขึ้นได้ ความอยุติธรรมของสภาวะอากาศแปรปรวน คือ กลุ่มคนที่ได้รับความเจ็บปวดที่สุด หรือคนยากจนที่สุดของโลก ซึ่งมีส่วนในการก่อปัญหานี้น้อยที่สุด ผมยังคงครุ่นคิดและเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีนำ AI มาช่วย แต่ท้ายโพสต์นี้ ผมจะเสนอแนะ 2 – 3 เรื่อง ที่มีความเป็นไปได้มาก

สรุปสั้นๆ ก็คือ ผมตื่นเต้นเกี่ยวกับผลกระทบที่ AI จะมีต่อประเด็นต่างๆ ซึ่งมูลนิธิ Gates Foundation กำลังดำเนินการ และมูลนิธิจะมีเรื่องต้องคุยกันอีกมากเกี่ยวกับ AI ในเดือนต่างๆ ที่จะมาถึง

โลกต้องการแน่ใจว่า ทุกคน ไม่ใช่แค่คนที่สุขสบายดีแล้ว จะได้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ รัฐบาลและองค์กรการกุศลจะต้องมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นว่า มันจะมาช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่มาเพื่อซ้ำเติม นี่คือลำดับความสำคัญที่ผมจะทำเกี่ยวกับ AI

เทคโนโลยีใหม่ที่มาสร้างความปั่นป่วนมากๆ และมีแนวโน้มจะทำให้คนรู้สึกยุ่งยาก นั่นคือปัญญาประดิษฐ์อย่างจริงแท้แน่นอน ผมเข้าใจดีว่าทำไม? มันก่อให้เกิดคำถามยากๆ เกี่ยวกับกำลังคนทำงาน ระบบกฎหมาย ความเป็นส่วนตัว ความไม่เป็นกลาง และอื่นๆ

AI ยังคงมีความผิดพลาดในข้อเท็จจริง และประสบกับอาการหลอน ก่อนที่ผมจะเสนอวิธีบางอย่างเพื่อลดความเสี่ยง ผมจะให้คำจำกัดความคำว่า AI ในความหมายของผมก่อน และจะลงลึกในรายละเอียดมากขึ้นเกี่ยวกับวิธีบางอย่างที่จะช่วยเพิ่มพลังให้ผู้คนในด้านการทำงาน การช่วยชีวิตคน และพัฒนาการศึกษา

คำจำกัดความของปัญญาประดิษฐ์

คำว่า ‘ปัญญาประดิษฐ์’ (artificial intelligence) ในทางเทคนิค หมายถึงโมเดลที่สร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะทาง หรือให้บริการแบบเฉพาะเจาะจง สิ่งที่มีพลังอย่าง ChatGPT คือปัญญาประดิษฐ์ มันเรียนรู้วิธีแชตให้ดีขึ้น แต่ไม่สามารถเรียนรู้หน้าที่อื่นๆ

ในทางตรงข้าม คำว่า ‘ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป’ (artificial general intelligence) หมายถึงซอฟต์แวร์ที่สามารถเรียนรู้งานหรือหัวข้อต่างๆ ได้ ตอนนี้ AGI ยังไม่เกิด มีการถกเถียงกันเข้มข้นในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับวิธีสร้างมันขึ้นมา หรือเถียงกันว่า มันสามารถสร้างขึ้นมาได้จริงหรือไม่?

การพัฒนา AI และ AGI คือความฝันอันยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ คำถามว่า เมื่อไรคอมพิวเตอร์จะเก่งกว่ามนุษย์ในบางเรื่องที่นอกเหนือจากการคิดคำนวณมีมาแล้วหลายสิบปี และตอนนี้ด้วยการมาถึงของ machine learning และพลังประมวลผลขนาดใหญ่ ทำให้ AI ที่มีความสลับซับซ้อนกลายเป็นความจริง และพวกมันจะเก่งขึ้นอย่างรวดเร็วมาก

ผมคิดกลับไปถึงช่วงต้นของการปฏิวัติคอมพิวเตอร์บุคคล ตอนอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ยังเล็กมากถึงขั้นที่เราเกือบทุกคนสามารถขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีงานประชุมได้พร้อมกัน ทุกวันนี้มันคืออุตสาหกรรมระดับโลกไปแล้ว

นับตั้งแต่คนกลุ่มนี้จำนวนมากหันไปสนใจ AI พร้อมๆ กัน นวัตกรรมต่างๆ จะมารวดเร็วกว่าสิ่งที่เราเคยประสบมาหลังความสำเร็จของไมโครโปรเซสเซอร์ ในไม่ช้า ยุค ‘ก่อน-AI’ ดูเหมือนจะอยู่ไกลแค่วันที่การใช้คอมพิวเตอร์หมายถึงการพิมพ์ที่ช่องคำสั่ง C:> มากกว่าการคลิกบนหน้าจอ

การเพิ่มประสิทธิผล

ถึงแม้มนุษย์ยังคงเก่งกว่า GPT ในหลายเรื่อง แต่มีหลายงานที่ความสามารถเหล่านี้ไม่ค่อยถูกนำมาใช้มากนัก ยกตัวอย่าง งานหลายอย่างของฝ่ายขาย (ทั้งบนดิจิทัลและโทรศัพท์) ฝ่ายบริการ หรือการจัดการเอกสารต่างๆ (ใบแจ้งหนี้ การทำบัญชี หรือข้อถกเถียงเรื่องการเคลมเงินประกัน) สิ่งเหล่านี้ต้องการการตัดสินใจ แต่ไม่ใช่ความสามารถในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

บริษัทมีโครงการฝึกสอนกิจกรรมเหล่านี้ และส่วนใหญ่พวกเขามีตัวอย่างมากมายของงานที่ดีและงานที่แย่ มนุษย์ถูกฝึกให้ใช้กลุ่มข้อมูลเหล่านี้ และในไม่ช้า กลุ่มข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้สอน AI ที่จะมาช่วยคนทำงานนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เมื่อพลังประมวลผลมีราคาถูกลง ความสามารถของ GPT ในการเสนอไอเดียจะเพิ่มขึ้นเหมือนมีพนักงานออฟฟิศมาช่วยคุณทำงานต่างๆ เพิ่มอีกคน Microsoft อธิบายสิ่งนี้ว่าเป็นผู้ช่วยนักบิน (co-pilot) นำไปผนวกกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่าง Office แบบเต็มตัว AI จะช่วยยกระดับการทำงานของคุณ เช่น ช่วยเขียนอีเมลและจัดการกล่องรับข้อความของคุณ

ท้ายที่สุด วิธีหลักในการควบคุมคอมพิวเตอร์จะไม่ใช่การเลื่อนเมาส์ไปคลิก หรือกดบนเมนู และกล่องข้อความสนทนาอีกต่อไป คุณจะสามารถเขียนเป็นคำร้องภาษาอังกฤษล้วนๆ แทน (และไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษ – AI จะเข้าใจภาษาทั่วโลก ผมเจอนักพัฒนาด้าน AI ในอินเดีย เมื่อต้นปี เขาจะทำให้ AI เข้าใจภาษามากมายซึ่งคนที่นั่นใช้พูดกัน)

นอกจากนี้ ความก้าวหน้าด้าน AI จะทำให้เกิดเอเย่นต์ส่วนตัวขึ้นมา ลองนึกว่าเป็นผู้ช่วยส่วนตัวแบบดิจิทัลก็ได้ มันจะคอยอ่านอีเมลฉบับล่าสุดที่เข้ามา รู้ว่าคุณต้องเข้าประชุมอะไรบ้าง อ่านทั้งสิ่งที่คุณอ่านและไม่คิดจะอ่าน สิ่งนี้จะเข้ามาช่วยทั้งพัฒนางานที่คุณต้องทำ และปลดปล่อยคุณจากงานที่ไม่อยากทำ

คุณจะสามารถใช้ภาษาตามธรรมชาติเพื่อสั่งให้เอเย่นต์นี้ช่วยจัดตาราง ติดต่อสื่อสาร และทำอีคอมเมิร์ซ และมันจะทำงานข้ามอุปกรณ์ทั้งหมดที่คุณมี แต่เพราะค่าใช้จ่ายในการฝึกโมเดลและใช้งานระบบประมวลผล การสร้างเอเย่นต์ส่วนตัวจึงยังไม่สามารถทำได้ง่ายๆ แต่ต้องขอบคุณความก้าวหน้าล่าสุดของ AI ตอนนี้มันกลายเป็นเป้าหมายที่เป็นจริงได้แล้ว

บางประเด็นยังจำเป็นต้องศึกษาเพิ่ม เช่น บริษัทประกันสามารถถามเอเย่นต์ของคุณเกี่ยวกับตัวคุณโดยปราศจากความยินยอมได้หรือไม่ ถ้าทำได้แล้วจะมีคนมากแค่ไหนเลือกที่จะไม่ใช้มัน

เอเย่นต์ของบริษัทจะช่วยเพิ่มพลังให้ลูกจ้างในแบบใหม่ๆ เช่น ลูกจ้างสามารถขอคำปรึกษากับเอเย่นต์ที่เข้าใจบริษัทใดบริษัทหนึ่งโดยเฉพาะได้โดยตรง และมันควรเข้าร่วมการประชุมทุกวงเพื่อคอยตอบคำถามต่างๆ

เราสามารถสั่งให้มันฟังเฉยๆ หรือให้พูดเสนอความเห็นได้หากมีข้อมูลเชิงลึกบางอย่าง มันจำเป็นต้องเข้าถึงยอดขาย งานฝ่ายสนับสนุน การเงิน ตารางเปิดตัวผลิตภัณฑ์ และข้อความต่างๆ เกี่ยวกับบริษัท มันควรได้อ่านข่าวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่บริษัทนั้นสังกัด ผมเชื่อว่า ผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้ลูกจ้างทำงานได้มีประสิทธิผลมากขึ้น

เมื่อประสิทธิผลเพิ่มขึ้น สังคมก็จะได้ประโยชน์ เพราะผู้คนมีเวลาทำอย่างอื่นมากขึ้น ทั้งในออฟฟิศและที่บ้าน แน่นอน ยังมีคำถามจริงจังเกี่ยวกับประเภทของการสนับสนุนและการฝึกทักษะใหม่ๆ ที่มนุษย์จำเป็นต้องเรียนรู้ รัฐบาลจำเป็นต้องช่วยให้คนทำงานสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่หน้าที่อื่นๆ ได้

แต่ความต้องการกำลังคนไปช่วยเหลือผู้อื่นจะยังไม่หายไปไหน การผงาดขึ้นมาของ AI จะช่วยให้คนมีเวลาไปทำสิ่งอื่นที่ซอฟต์แวร์ไม่สามารถทำได้ เช่น การสอนหนังสือ ดูแลผู้ป่วย และคอยช่วยเหลือผู้สูงอายุ เป็นต้น

สุขภาพและการศึกษาของคนทั่วโลก คือ 2 เรื่องที่ยังมีความต้องการสูง และยังมีคนทำงานไม่เพียงพอ พื้นที่เหล่านี้ AI สามารถเข้ามาช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้หากมีการกำหนดเป้าหมายที่เหมาะสม สิ่งเหล่านี้ควรเป็นจุดโฟกัสของการพัฒนา AI ผมจะขอพูดถึงมันในตอนนี้

สุขภาพ

ผมมองเห็นหลายวิธีที่ AI จะเข้ามาช่วยพัฒนาเรื่องการแพทย์และสาธารณสุข

สิ่งหนึ่งก็คือ มันจะช่วยให้พนักงานสาธารณสุขใช้เวลาได้คุ้มค่ามากที่สุด ด้วยการช่วยทำงานบางอย่างแทน เช่น การทำเอกสารเคลมประกัน จัดการงานเอกสาร และร่างเวชระเบียนจากการตรวจวินิจฉัยของแพทย์ ผมคาดหวังว่าจะมีนวัตกรรมอีกมากในด้านนี้

การพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วย AI อื่นๆ จะมีความสำคัญโดยเฉพาะกับประเทศยากจน ซึ่งมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

ยกตัวอย่าง หลายคนในประเทศเหล่านั้นไม่เคยไปหาหมอ และ AI จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่พวกเขาไปพบมีประสิทธิผลมากขึ้น (ความพยายามพัฒนาเครื่องอัลตร้าซาวด์ที่ทำงานด้วย AI และสามารถใช้งานได้ด้วยการฝึกอบรมเพียงเล็กน้อย คือ ตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของเรื่องนี้)

AI จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถคัดกรองโรคเองได้เบื้องต้น ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับวิธีรับมือกับปัญหาสุขภาพ และช่วยตัดสินใจว่า พวกเขาจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาหรือไม่

โมเดล AI ที่ใช้ในประเทศยากจนจะต้องถูกฝึกฝนให้รู้จักโรคต่างๆ ที่ไม่เหมือนกับในประเทศร่ำรวย พวกมันจะทำงานในภาษาแตกต่างกัน และคิดบนพื้นฐานความท้าทายต่างกัน เช่น คนไข้ที่อาศัยห่างไกลคลีนิคมากๆ หรือไม่สามารถหยุดงานเมื่อล้มป่วย

ผู้คนจะได้เห็นหลักฐานว่า AI ด้านสุขภาพมีประโยชน์โดยรวม ถึงแม้พวกมันจะไม่สมบูรณ์และยังมีข้อผิดพลาด AI ต้องถูกทดสอบอย่างระมัดระวัง และมีการกำกับดูแลอย่างเหมาะสม ซึ่งหมายความว่า มันจะใช้เวลายาวนานขึ้นกว่าจะถูกนำมาใช้งานเมื่อเทียบกับ AI ด้านอื่นๆ แต่อย่างที่พูดไป มนุษย์ก็เองทำผิดพลาดเช่นกัน และการไม่สามารถเข้าถึงการรักษาก็เป็นปัญหาอีกด้วย

นอกเหนือจากการช่วยดูแลรักษาแล้ว AI จะช่วยเร่งอัตราความสำเร็จทางการแพทย์ได้น่าเหลือเชื่อ ปริมาณข้อมูลด้านชีววิทยามีขนาดใหญ่มาก และมันยากที่มนุษย์จะเก็บบันทึกได้ตลอดเวลาที่ระบบชีววิทยาอันซับซ้อนนี้ทำงาน เรามีซอฟต์แวร์ที่สามารถอ่านข้อมูลนี้ได้แล้ว สามารถแนะนำเส้นทาง ช่วยค้นหาเป้าหมายบนตัวเชื้อโรค และออกแบบยารักษาได้ตามลำดับ บางบริษัทกำลังพัฒนายารักษามะเร็งตามเส้นทางสายนี้

เครื่องมือรุ่นต่อไปจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถทำนายผลข้างเคียง รวมถึงคำนวณปริมาณยาที่เหมาะสมได้ หนึ่งในสิ่งที่ Gates Foundation ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ เรื่อง AI คือการทำให้แน่ใจว่า เครื่องมือเหล่านี้จะถูกใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพที่กระทบกลุ่มคนยากจนที่สุดในโลก รวมถึงโรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย

ในทำนองเดียวกัน รัฐบาลและองค์กรการกุศลควรสร้างแรงจูงใจให้บริษัทต่างๆ แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกที่ได้จาก AI เพื่อนำไปบอกต่อให้คนในประเทศยากจนที่ทำการเกษตร หรือเลี้ยงสัตว์รับทราบ

AI สามารถช่วยพัฒนาเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะกับสภาพแต่ละพื้นที่ แนะนำเกษตรกรเรื่องเมล็ดพันธุ์ที่ดีที่สุดในการเพาะปลูกบนผืนดินและสภาพอากาศในพื้นที่นั้นๆ และช่วยพัฒนายาและวัคซีนสำหรับปศุสัตว์

ยิ่งสภาพอากาศรุนแรงและแปรปรวนเพิ่มแรงกดดันให้กับเกษตรกรที่เพาะปลูกเพื่อยังชีพในประเทศรายได้น้อยมากขึ้นเท่าไร ความก้าวหน้าเหล่านี้ก็จะยิ่งมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

การศึกษา

คอมพิวเตอร์ไม่ได้มีผลกระทบต่อการศึกษาอย่างที่เราหลายคนในอุตสาหกรรมนี้คาดหวัง มันมีพัฒนการที่ดีบางอย่าง รวมถึงเกมด้านการศึกษา และแหล่งข้อมูลออนไลน์อย่าง Wikipedia แต่ยังไม่มีผลกระทบที่มีความหมายหากใช้ตัวชี้วัดต่างๆ เรื่องความสำเร็จของนักเรียน

แต่ผมคิดว่าในอีก 5 – 10 ปีข้างหน้า ซอฟต์แวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI สุดท้ายแล้วจะเข้ามาปฏิวัติวิธีการเรียนการสอนของมนุษย์ มันจะรู้ความสนใจและสไตล์การเรียนรู้ของคุณ ดังนั้น มันสามารถออกแบบเนื้อหาที่จะทำให้คุณเข้ามามีส่วนร่วม มันจะช่วยวัดความเข้าใจ รับรู้ตอนคุณไม่สนใจ และเข้าใจวิธีการกระตุ้นให้คุณตอบสนอง มันจะให้ฟีดแบ็กได้ทันที

มีหลายวิธีที่ AI สามารถช่วยครูหรือผู้บริหารการศึกษา รวมถึงการประเมินความเข้าใจของนักเรียนในวิชาต่างๆ และให้คำแนะนำด้านการวางแผนประกอบอาชีพในอนาคต ครูมีการใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT ในการแสดงความคิดเห็นต่องานเขียนของนักเรียนแล้ว

แน่นอนว่า AI ยังต้องฝึกอีกมากและพัฒนาอีกไกลก่อนจะทำสิ่งต่างๆ อย่างเข้าใจว่า นักเรียนแต่ละคนเรียนรู้ได้ดีที่สุดอย่างไร หรืออะไรที่ช่วยกระตุ้นพวกเขา? แม้เทคโนโลยีนี้จะสมบูรณ์แบบแล้ว การเรียนรู้ยังต้องพึ่งพาความสัมพันธ์อันดีระหว่างลูกศิษย์กับครู มันจะช่วยเสริม ไม่ใช่เข้ามาทดแทนการทำงานร่วมกันระหว่างนักเรียนกับครูในชั้นเรียน

เครื่องมือใหม่ๆ จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโรงเรียนที่มีกำลังซื้อ แต่เราจำเป็นต้องแน่ใจว่า พวกมันสร้างมาเพื่อโรงเรียนรายได้ต่ำในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกด้วย AI จำเป็นต้องถูกฝึกบนชุดข้อมูลอันหลากหลายเพื่อความเป็นกลางและสะท้อนวัฒนธรรมที่แตกต่างของผู้ที่จะใช้งานมัน ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลจำเป็นต้องได้รับการเหลียวแลเพื่อให้นักเรียนจากครอบครัวผู้มีรายได้น้อยไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ผมรู้จักครูหลายคนที่วิตกว่า นักเรียนกำลังใช้ GPT เพื่อเขียนเรียงความ นักการศึกษาได้หารือวิธีปรับใช้เทคโนโลยีใหม่นี้แล้ว และผมก็สงสัยว่า การพูดคุยกันเหล่านั้นจะยังคงอยู่ต่อไปอีกสักระยะ ผมทราบมาว่า ครูที่พบวิธีอันชาญฉลาดในการนำเทคโนโลยีมาใช้กับงานของพวกเขา อย่างการอนุญาตให้นักเรียนใช้ GPT ร่างงานดราฟต์แรกที่พวกเขาต้องมาปรับใหม่ให้มีความเฉพาะตัวขึ้น

ความเสี่ยงและปัญหาของ AI

บางทีคุณอาจได้อ่านเกี่ยวกับปัญหาของโมเดล AI ล่าสุดมาแล้ว ยกตัวอย่าง พวกมันไม่ได้เก่งขนาดนั้นในการเข้าใจบริบทคำร้องขอของมนุษย์ ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แปลกประหลาดบางอย่าง เมื่อคุณขอให้ AI แต่งนิยายบางเรื่อง มันสามารถทำได้ดี แต่เมื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับแผนการเดินทางที่ต้องการ มันอาจแนะนำโรงแรมที่ไม่มีอยู่จริง นั่นเป็นเพราะ AI ไม่เข้าใจบริบทคำร้องขอของคุณดีพอที่จะรู้ว่า มันควรแต่งเรื่องโรงแรมปลอมๆ ขึ้นมาหรือไม่ หรือแค่บอกคุณเกี่ยวกับของจริงที่มีห้องพักว่างอยู่

ยังมีประเด็นอื่นอีก เช่น AI ให้คำตอบคณิตศาสตร์ผิด เพราะมันมีปัญหากับตรรกะเชิงนามธรรม แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรเป็นข้อจำกัดเชิงพื้นฐานของปัญญาประดิษฐ์ นักพัฒนากำลังแก้ปัญหาอยู่ และผมคิดว่า เราจะเห็นมันถูกแก้ได้เป็นส่วนใหญ่ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี หรือบางทีอาจเร็วกว่านั้น

ความกังวลอื่นๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค ยกตัวอย่าง มนุษย์ที่ติดอาวุธด้วย AI คือภัยคุกคาม มันก็เหมือนกับสิ่งประดิษฐ์ส่วนใหญ่ ปัญญาประดิษฐ์สามารถใช้ทั้งในทางที่ร้ายและดี รัฐบาลจำเป็นต้องทำงานกับภาคเอกชนในการหาวิธีจำกัดความเสี่ยงต่างๆ

นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่ AI จะอยู่เหนือการควบคุม เครื่องจักรสามารถคิดได้หรือไม่ว่ามนุษย์เป็นภัยคุกคาม สรุปได้ว่าผลประโยชน์ของมันแตกต่างจากเรา หรือแค่หยุดสนใจพวกเราไปเลย มันอาจเป็นไปได้ แต่ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนในวันนี้อีกต่อไป เมื่อเทียบกับการพัฒนา AI ใน 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา

AI ที่แสนฉลาดล้ำคืออนาคตของเรา เปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์แล้ว สมองของเราทำงานด้วยความเร็วของหอยทาก สัญญาณไฟฟ้าในสมองเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 1 ส่วน 100,000 ของความเร็วสัญญาณในชิปซิลิคอน

ทันทีที่นักพัฒนาสามารถทำให้อัลกอริทึมเพื่อการเรียนรู้ทำงานได้ครอบคลุมและรวดเร็วเท่าคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจใช้เวลาอีกนับสิบปีหรือร้อยปี เราก็จะมี AGI ที่ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ มันจะทำได้ทุกอย่างที่สมองของมนุษย์ทำได้ แต่ไร้ขีดจำกัดในทางปฏิบัติเรื่องขนาดของความจำ หรือความเร็วในการทำงาน สิ่งนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวง

AI ที่ ‘แข็งแรง’ เหล่านี้ในแบบที่เรารู้จัก บางทีอาจสามารถตั้งเป้าหมายของตัวเอง แล้วเป้าหมายเหล่านั้นจะเป็นอะไร จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกมันมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับมนุษยชาติ เราควรพยายามป้องกันไม่ให้มีการสร้าง AI ที่แข็งแรงขึ้นมาหรือไม่? คำถามเหล่านี้จะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป

แต่ความสำเร็จในช่วง 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา ยังไม่มีอันไหนเข้าใกล้กับคำว่า AI ที่แข็งแรงจริงๆ ปัญญาประดิษฐ์ยังไม่สามารถเข้ามาควบคุมโลกทางกายภาพ และไม่สามารถกำหนดเป้าหมายของตัวเอง

บทความล่าสุดใน The New York Times เกี่ยวกับบทสนทนากับ ChatGPT ซึ่งมันประกาศว่าอยากเป็นมนุษย์ ได้รับความสนใจล้นหลาม มันเป็นการมองที่น่าสนใจมากว่า การแสดงอารมณ์ของโมเดลนี้มีความคล้ายมนุษย์อย่างไร แต่ยังไม่ใช่ตัวชี้วัดเรื่องอิสรภาพของมันที่มีความหมายนัก

มีหนังสือ 3 เล่ม ที่หล่อหลอมความคิดผมในเรื่องนี้ คือ Superintelligence ของ Nick Bostrom, Life 3.0 ของ Max Tegmark และ A Thousand Brains ของ Jeff Hawkins ผมไม่ได้เห็นด้วยกับทุกเรื่องที่นักเขียนเล่าและพวกเขาก็เห็นไม่ตรงกันเองด้วย แต่ทั้งสามเล่มเขียนได้ดี และช่วยกระตุกต่อมความคิดได้

พรมแดนถัดไป

จะเกิดกระแสบริษัทต่างๆ แห่มองหาวิธีใหม่ๆ เพื่อใช้งาน AI รวมถึงวิธีพัฒนาเทคโนโลยีนี้ให้ดีขึ้น ยกตัวอย่าง หลายบริษัทกำลังพัฒนาชิปรุ่นใหม่ที่จะเพิ่มพลังประมวลผล ซึ่งปัญญาประดิษฐ์ต้องการให้ใหญ่มากขึ้น บางบริษัทใช้ออปติคอลสวิตช์ โดยหลักคือเลเซอร์ เพื่อลดการบริโภคพลังงานและค่าใช้จ่ายในการผลิต ในเชิงอุดมคติ ชิปที่เป็นนวัตกรรมจะทำให้คุณสามารถใช้ AI บนอุปกรณ์ของคุณเองได้ แทนที่จะใช้ในคลาวด์แบบที่คุณทำทุกวันนี้

ในมุมซอฟต์แวร์ อัลกอริทึมที่ขับเคลื่อนการเรียนรู้ของ AI จะทำงานได้ดีขึ้น จะมีโดเมนชัดเจน เช่น การขาย ที่นักพัฒนาสามารถทำให้ AI มีความแม่นยำสูง ด้วยการจำกัดพื้นที่การทำงานและสอนให้มันเรียนรู้ข้อมูลจำนวนมากที่เฉพาะเจาะจงในแต่ละสาขา

แต่คำถามใหญ่ข้อหนึ่ง คือ เราจำเป็นต้องมี AI เฉพาะด้านมากมายเพื่อใช้ทำงานที่แตกต่างกันหรือไม่? เช่น ตัวหนึ่งเพื่อการศึกษา และอีกตัวเพื่อความมีประสิทธิผลของงานออฟฟิศ หรือมันเป็นไปได้ที่จะพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ทั่วไปที่สามารถเรียนรู้งานอะไรก็ได้ขึ้นมา ทั้งสองวิธีนี้ล้วนจะมีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้นเกิดขึ้น

ไม่ว่าอย่างไร หัวข้อเรื่อง AI จะกลายเป็นประเด็นที่คนส่วนใหญ่ถกเถียงกันในอนาคตเท่าที่ทำนายได้ ผมอยากแนะนำหลักการ 3 ข้อ ที่ควรใช้นำทางบทสนทนาปราศรัยของพวกเรา

ข้อแรก เราควรพยายามรักษาสมดุลระหว่างความกลัวด้านมืดของ AI ซึ่งเข้าใจได้และมีเหตุผล กับความสามารถในการนำมาใช้พัฒนาชีวิตมนุษย์ การจะใช้เทคโนโลยีใหม่นี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เราจำเป็นต้องทั้งป้องกันความเสี่ยงและกระจายประโยชน์ไปสู่ผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

ข้อสอง ธรรมชาติของกลไกตลาดจะไม่เอื้อต่อการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการด้าน AI เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนจนระดับล่างสุด มันมีแนวโน้มที่จะเกิดตรงกันข้าม ดังนั้น รัฐบาลและองค์กรการกุศล หากอาศัยเงินทุนและนโยบายที่ถูกต้อง จะสามารถช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้ว่า AI จะถูกนำมาใช้ลดความเหลื่อมล้ำ คล้ายกับโลกที่ต้องการคนฉลาดที่สุดมาโฟกัสกับปัญหาที่ใหญ่ที่สุด เราต้องโฟกัสที่การใช้ AI ที่ดีที่สุดในโลกเพื่อแก้ปัญหาที่สำคัญที่สุด

แม้เราไม่ควรรอให้สิ่งนี้เกิดขึ้น แต่มันน่าสนใจที่จะคิดว่า ปัญญาประดิษฐ์จะเข้าใจความเหลื่อมล้ำและพยายามช่วยแก้ปัญหานี้หรือไม่ คุณจำเป็นต้องมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเพื่อมองเห็นความเหลื่อมล้ำหรือไม่ หรือ AI เชิงตรรกะล้วนๆ จะมองเห็นหรือไม่ ถ้ามันรับรู้เรื่องความเหลื่อมล้ำ มันจะแนะนำให้เราทำอะไร?

ข้อสุดท้าย เราควรจำให้ขึ้นใจว่า เรายังอยู่แค่จุดเริ่มต้นของสิ่งที่ AI สามารถทำได้ ข้อจำกัดอะไรก็ตามที่มีในวันนี้จะหายไปก่อนที่เราจะรู้ตัว

ผมโชคดีที่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ PC และการปฏิวัติอินเทอร์เน็ต ผมแค่ตื่นเต้นกับช่วงเวลานี้ เทคโนโลยีใหม่นี้สามารถช่วยยกระดับชีวิตผู้คนได้ทุกหนแห่ง ในเวลาเดียวกัน โลกจำเป็นต้องสร้างกฎเกณฑ์ของถนนเส้นนี้ขึ้นมา เพื่อให้ด้านมืดใดๆ ของปัญญาประดิษฐ์ ถูกกลบด้วยประโยชน์ของมันที่มีมากกว่ามาก และทุกคนสามารถมีความสุขกับประโยชน์เหล่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ที่ใดหรือมีเงินทองมากมายแค่ไหน

ยุคของ AI จะเต็มไปด้วยโอกาส และความรับผิดชอบ”

เขียนโดย Phanuwat Auaudomchaisakun

Source: http://bit.ly/3lPOvzd