“The Age of AI has begun” (ยุคของ AI ได้เริ่มต้นแล้ว)
นั่นคือคำที่ บิล เกตส์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ผู้ก่อตั้งบริษัท Microsoft วัย 67 ปี ระบุบนหัวจดหมายเปิดผนึก ซึ่งเขียนขึ้นมาเพื่อคาดการณ์ว่า อนาคตของโลกเทคโนโลยีข้างหน้าจะหน้าตาอย่างไร
จดหมายฉบับนี้เผยแพร่ออกมาวันที่ 21 มีนาคม 2023 วันเดียวกับ Google ประกาศเปิดให้คนทั่วไปทดลองใช้ Bard แชตบอตอัจฉริยะตัวใหม่ หลังจากหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้า OpenAI สตาร์ตอัปผู้สร้าง ChatGPT ที่หลายคนคาดว่าจะมา ‘ฆ่า’ Google เพิ่งเปิดตัว GPT-4 แชตบอตเวอร์ชั่นใหม่ที่ล้ำสมัยยิ่งขึ้น
ก่อนหน้านี้ บิล เกตส์ เคยออกมาเปิดใจว่า เขารู้สึกตื่นเต้นกับอนาคตของ AI โดยเฉพาะในแง่การนำมาใช้งานในองค์กรการกุศล เพื่อเป็นติวเตอร์ทางการศึกษา และให้คำปรึกษาทางการแพทย์ในพื้นที่ขาดแคลนบุคลากรสาธารณสุข
บิล เกตส์ ระบุในจดหมายเปิดผนึกล่าสุดความยาว 7 หน้า ยอมรับว่า ยังมีความน่ากังวลใจหลายเรื่องเกี่ยวกับ AI รวมถึงความเสี่ยงที่มนุษย์จะนำไปใช้ในทางที่ผิด และความ ‘แข็งแรง’ ของ AI ซึ่งหมายถึงความฉลาดล้ำสุดๆ เมื่อเวลาผ่านไป อาจทำให้ AI “ตั้งเป้าหมายของตัวเอง” หรือพูดง่ายๆ คือ “คิดเองได้” โดยไม่สนใจคำสั่งจากมนุษย์
ในจดหมายฉบับนี้ บิล เกตส์ พยายามอธิบายแนวคิดของเขาด้วยการทบทวนความคิดของตัวเองเรื่องการนำ AI มาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของมนุษย์ และช่วยลดความเหลื่อมล้ำทั่วโลกใน 3 ด้าน ได้แก่ ชีวิตการทำงาน การสาธารณสุข และการศึกษา
1. ใช้ AI เป็นผู้ช่วยส่วนตัวในออฟฟิศ
บิล เกตส์ ระบุว่า ในอนาคต AI จะถูกใช้ในสถานที่ทำงานเหมือนเป็น “ผู้ช่วยส่วนตัวดิจิทัล” เพื่อยกระดับศักยภาพของพนักงานแต่ละคน ยกตัวอย่าง การนำ AI มาใส่ในซอฟต์แวร์เครื่องมือทำงานของโปรแกรม Microsoft Office ซึ่งสามารถช่วยในด้านการจัดการและเขียนอีเมลแทนคน
เขาบอกว่า “เอเย่นต์ส่วนตัว” ที่ทำงานด้วย AI เหล่านี้ มีทั้งข้อมูลและความรู้จำนวนมหาศาลเกี่ยวกับบริษัทและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ทำให้มันเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีที่ต่อไปพนักงานที่เป็นมนุษย์สามารถใช้เป็นที่ปรึกษาพูดคุยได้
“เมื่อพลังประมวลผลมีราคาถูกลง ความสามารถของ GPT ในการนำเสนอไอเดียจะเพิ่มขึ้นเหมือนคุณมีพนักออฟฟิศคนหนึ่งมาคอยช่วยเหลือทำภารกิจต่างๆ ได้หลากหลาย” บิล เกตส์ ระบุ
2. ใช้ AI เป็นผู้ช่วยแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
ในภาคสาธารณสุข บิล เกตส์ ระบุว่า AI สามารถช่วยทำงานแทนเจ้าหน้าที่ได้หลายอย่าง รวมถึงการยื่นเคลมเงินประกัน การทำงานเอกสาร และร่างบันทึกเวชระเบียนของหมอ
ในดินแดนยากไร้และทุรกันดาร “ผู้คนจำนวนมากในประเทศเหล่านั้นไม่เคยมีโอกาสพบหมอ” ดังนั้น AI สามารถเข้ามาช่วยทำให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสามารถดูแลคนไข้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจถึงขั้นช่วยแนะนำวิธีรักษากับคนไข้ที่อยู่ห่างไกลสถานพยาบาล
บิล เกตส์ บอกว่า แม้การนำ AI มาใช้ด้านสาธารณสุขเกิดขึ้นแล้ว โดยใช้วิเคราะห์ข้อมูลการแพทย์และออกแบบการรักษา แต่คลื่นลูกต่อไปของ AI คือ การนำไปช่วยทำนายผลข้างเคียงของยา และคำนวณปริมาณยาที่คนไข้ควรได้รับ
นอกจากนี้ AI ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ในประเทศยากจน โดย บิล เกตส์ ระบุว่า AI สามารถช่วยออกแบบเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะกับสภาพอากาศแต่ละพื้นที่ และพัฒนาวัคซีนทางปศุสัตว์ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับภาวะสภาพอากาศแปรปรวน
3. ใช้ AI เป็น “ครู” ช่วยคิดหลักสูตรเรียนรู้ของแต่ละคน
บิล เกตส์ ทำนายว่า ในอีก 5 – 10 ปีข้างหน้า AI จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการศึกษาครั้งใหญ่ ด้วยการช่วยนำเสนอเนื้อหาวิชาที่เหมาะกับสไตล์การเรียนรู้ของนักเรียนนักศึกษาแต่ละคน นอกจากนี้ มันยังสามารถเรียนรู้ว่า อะไรคือเนื้อหาที่ทำให้นักเรียนแต่ละคนสนใจ หรือไม่สนใจในวิชานั้นๆ
AI สามารถช่วยครูที่เป็นมนุษย์วางแผนการสอน และประเมินความรู้ของนักเรียนในการสอนแต่ละหัวข้อในห้องเรียน
“อย่างไรก็ดี แม้เทคโนโลยีสมบูรณ์แบบแล้ว การเรียนรู้ยังจำเป็นต้องพึ่งพาความสัมพันธ์อันดีระหว่างครูกับลูกศิษย์” บิล เกตส์ ยืนยันว่า ครูยังมีความจำเป็น
“มันจะช่วยมาเสริม – ไม่ใช่เข้ามาแทนที่ – การทำงานร่วมกันระหว่างนักเรียนและคุณครูในห้องเรียน”
เขาย้ำถึงความสำคัญของครูที่เป็นมนุษย์ พร้อมชี้ว่า AI ควรเป็นเทคโนโลยีที่เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมในโรงเรียนสำหรับผู้มีรายได้น้อย “ทั้งนี้เพื่อที่นักเรียนจากครอบครัวผู้มีรายได้น้อยจะไม่ถูกปล่อยทิ้งไว้ข้างหลัง”
นอกจากนี้ บิล เกตส์ ยังแนะนำให้ครูต้องปรับตัวยอมรับเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง ChatGPT ในห้องเรียน พร้อมยกตัวอย่างครูที่เปิดโอกาสให้นักเรียนใช้แชตบอตอัจฉริยะช่วยเขียนเรียงความดราฟต์แรก ก่อนที่เจ้าของงานจะปรับแก้ให้มีความเป็นตัวเองมากขึ้นในดราฟต์ถัดไป
“การใช้เทคโนโลยีใหม่ที่น่าทึ่งให้ได้ประโยชน์สูงสุด เราจำเป็นต้องทั้งป้องกันความเสี่ยง และกระจายประโยชน์ไปสู่ผู้คนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” บิล เกตส์ ให้แง่คิดทิ้งท้าย พร้อมเปรียบ AI เป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกตัวใหม่ล่าสุด คล้ายการถือกำเนิดของไมโครโปรเซสเซอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ รวมถึงอินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถือในอดีต
เขียนโดย Phanuwat Auaudomchaisakun
Source: http://bit.ly/3JJtqhQ