‘ฮัดเช้ย (แต่ไม่มี) ใครเอ่ยถึงฉัน’ กรณีศึกษาแนวทางจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 จาก 4 ประเทศ สหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย และเกาหลีใต้

“ฮ ฮ ฮัดเช้ย”
เชื่อว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ชาวภูมิแพ้รวมไปถึงเราๆ ทุกคนต้องไม่ถูกใจกับสิ่งนี้อย่างแน่นอน กับปัญหาของ ‘ฝุ่น’ ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย
โดยเฉพาะในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ที่มีค่า AQI ถึง 166 ไมโครกรัม/ลบ.ม.ซึ่งอยู่ในระดับที่อันตราย และหากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ด้วยแล้วนั้น กรุงเทพฯ ถือเป็นเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดลำดับที่ 12 ของโลก (ข้อมูล ณ วันที่ 23 มกราคม เวลา 13:50 น.) ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) ประกาศขอความร่วมมือภาครัฐ-เอกชนให้ทำงานที่บ้าน หรือเวิร์ก ฟรอม โฮม (Work From Home-WFH) ในช่วงวันที่ 20 จนถึง 24 มกราคม
ฝุ่นละออง PM2.5 เป็นศัตรูที่เรามองแทบไม่เห็น แต่กลับส่งผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจอย่างรุนแรงทั่วโลก หลายประเทศจึงได้ออกมาตรการเพื่อควบคุมปัญหานี้อย่างจริงจัง ในวันนี้ Future Trends จะพาทุกคนไปรู้จักกับ 4 ประเทศที่มีแนวทางจัดการฝุ่นละอองแตกต่างกัน ซึ่งแต่ละประเทศจะมีแนวคิดและเทคโนโลยีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ไปดูกัน 👇🏻
สหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกาใช้ Clean Air Act (CAA) เป็นกฎหมายหลักในการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ โดยมุ่งเน้นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกลาง รัฐ ท้องถิ่น และชนเผ่า เพื่อพัฒนาและบังคับใช้แผนงานที่เหมาะสมกับปัญหามลพิษในแต่ละพื้นที่
1. การควบคุมมลพิษทั่วไป (Common Pollutants)
EPA (หน่วยงานปกป้องสิ่งแวดล้อม) กำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศแห่งชาติ (NAAQS) เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชน ขณะที่รัฐพัฒนาแผนงาน (State Implementation Plans) เพื่อบรรลุเป้าหมาย และต้องป้องกันการปล่อยมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อรัฐข้างเคียง
2. การควบคุมมลพิษอันตราย (Toxic Pollutants)
EPA กำหนดมาตรฐานระดับประเทศสำหรับการปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิดใหญ่ และแหล่งกำเนิดเล็ก รัฐสามารถรับหน้าที่บังคับใช้มาตรฐานเหล่านี้ได้โดยต้องไม่เข้มงวดน้อยกว่าระดับที่กฎหมายกำหนด
3. การจัดการฝนกรด (Acid Rain)
สหรัฐฯ ดำเนินโครงการระดับชาติเพื่อลดการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์จากโรงไฟฟ้าข้ามรัฐ โดยใช้ระบบติดตามและการค้าสิทธิการปล่อยมลพิษ
4. การปกป้องชั้นโอโซน (Ozone Layer)
รัฐบาลกลางมีมาตรการลดการผลิตและการใช้สารทำลายชั้นโอโซน เช่น CFCs พร้อมทั้งกำหนดมาตรฐานการรีไซเคิลและการกำจัดอย่างถูกต้อง
5. การลดหมอกควันในพื้นที่อนุรักษ์ (Regional Haze)
รัฐต้องจัดทำแผนลดมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อทัศนวิสัยในอุทยานแห่งชาติ โดยได้รับคำแนะนำและตรวจสอบจาก EPA
จีน
จีนลงทุนกว่า $21 พันล้านในช่วงโอลิมปิกปี 2008 เพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศในปักกิ่ง เช่น การอัปเกรดหม้อไอน้ำถ่านหิน 60,000 เครื่อง และเปลี่ยนรถโดยสาร 4,000 คันให้ใช้ก๊าซธรรมชาติ ผลลัพธ์คือ “Beijing Blue” ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของคุณภาพอากาศ
ปัจจุบัน จีนมุ่งสู่เป้าหมายคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2060 และได้ลดความเข้มข้นของการปล่อยคาร์บอนลง 48.4% จากปี 2005 พร้อมผลักดันนโยบาย “1+N” เพื่อลดการปล่อยมลพิษในทุกภาคส่วน
จีนยังเป็นผู้นำในความร่วมมือระดับโลก เช่น การลงนามใน China-US Joint Glasgow Declaration และการสนับสนุนโครงการ Green Investment Principles เพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนาลดคาร์บอน
ในอนาคต จีนยังตั้งเป้าพัฒนาเศรษฐกิจเชิงบวกต่อธรรมชาติ โดยมีศักยภาพสร้างงานกว่า 80 ล้านตำแหน่งต่อปีในภาคที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม
อินเดีย
อินเดียกำลังเร่งแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศผ่าน National Clean Air Program (NCAP) ที่ตั้งเป้าลดมลพิษฝุ่นละอองลง 30% ภายในปี 2024 โดยความร่วมมือจาก Indian Institute of Technology Kanpur, Department of Environment, Forest & Climate Change และ Clean Air Fund ที่สนับสนุนมาตรการลดมลพิษและสร้างระบบเฝ้าระวังคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์
ภาคธุรกิจยังมีบทบาทสำคัญผ่าน India CEO Forum for Clean Air ที่ดึงบริษัทใหญ่ เช่น Wipro และ Mahindra Group มาร่วมขับเคลื่อนนโยบายลดมลพิษ ส่วนในระดับชุมชน โครงการอย่าง Health Care Without Harm ได้สร้างเครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์เป็นผู้นำรณรงค์
รวมถึงการสำรวจความคิดเห็นของเด็ก 10,000 คนในเดลี เพื่อนำข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อมสู่ผู้นำท้องถิ่น
การบูรณาการระหว่างรัฐบาล ธุรกิจ และชุมชนนี้ ทำให้อินเดียก้าวไปสู่เป้าหมายอากาศสะอาดและพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างมีประสิทธิภาพ
เกาหลีใต้
ครั้งหนึ่งมลพิษในกรุงโซลเคยรุนแรงจนเสื้อเชิ้ตขาวเปื้อนเขม่าภายในวันเดียว แต่ความพยายามต่อเนื่องทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้นอย่างมาก PM10 ลดลง 40% ระหว่างปี 2005–2021 และ PM2.5 ลดลง 19% ระหว่างปี 2005–2020
รัฐบาลเกาหลีใต้ลงทุนกว่า 9 พันล้านดอลลาร์เพื่อลดมลพิษ โดยเน้นการลดการปล่อยจากการขนส่ง ติดตั้งหม้อไอน้ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเปลี่ยนระบบขนส่งสาธารณะให้สะอาดขึ้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 ด้วยการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนและพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นตัวอย่างสำคัญให้กับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลก
ทุกประเทศต่างมีแนวทางจัดการปัญหาฝุ่นละอองที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยี การออกกฎหมาย หรือการส่งเสริมนโยบายพลังงานสะอาด
ในส่วนของประเทศไทยก็ได้มีการตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาฝุ่น PM2.5 ด้วยเช้นกัน โดยมีนโยบายและมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ในระยะยาว โดยมุ่งเน้นไปที่การลดปริมาณฝุ่นที่ต้นทาง การควบคุมการเผา การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และการสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน
อย่างไรก็ตาม แม้ภาครัฐจะยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นนี้ได้อย่างครอบคลุม แต่เพื่อสุขภาพที่ดีของเรา อย่าลืมใส่หน้ากากอนามัยอยู่เป็นประจำ และหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านหากไม่จำเป็น
เขียนโดย ชนัญชิดา พลอยพลาย
#FutureTrends #FutureTrendsetter #FutureTrendsWorkAndLife
Sources:
Government Partnerships to Reduce Air Pollution
https://www.epa.gov/clean-air-act-overview/government-partnerships-reduce-air-pollution
INDIA
https://www.cleanairfund.org/geography/india
China’s action on air pollution can help restore trust in a greener future
https://www.weforum.org/stories/2022/01/china-action-air-pollution-restore-trust-greener-future
Once enough to stain shirt collars, smog is lifting over greater Seoul
นโยบายของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับฝุ่น PM2.5
https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/31/iid/356729