3 เรื่องบัญชีและภาษี ที่สำคัญสำหรับการวางแผนปี 2023
หลังจากการระบาดใหญ่โควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจทั้งหลายต้องมีการปรับตัวยกใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวด้านโครงสร้างธุรกิจ ยอดขาย ควบคุมรายจ่ายด้านต่างๆ ไปจนถึงการจัดการเงินเพื่อหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจให้อยู่รอดต่อไป
อย่างไรก็ดี ผมเชื่อเหลือเกินว่า ผู้ประกอบการหลายคนเริ่มมองเห็นว่า ข้อมูลทางด้านบัญชีและภาษีเริ่มมีความสำคัญกับธุรกิจมากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตัดสินใจต่างๆ การประมาณการ และการวางแผนการเงินธุรกิจอย่างที่ได้เล่ามา
ถึงแม้ว่าในปี 2023 ที่กำลังใกล้เข้ามา ยังมีสิ่งที่ท้าทายมากมายรออยู่ แต่ถ้าเราเริ่มต้นด้วยการจัดการที่เหมาะสม พร้อมกับแนวคิดที่แข็งแรง (ด้านการเงิน) ก็จะช่วยให้ธุรกิจเราไปต่อได้ ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม
ผมมีคำแนะนำ 3 ข้อ ในการบริหารจัดการบัญชีและภาษีมาฝากกันครับ
วางแผนด้วยข้อมูลที่ทันต่อสถานการณ์
เนื่องจากในปัจจุบัน การทำบัญชีมีทางเลือกมากมายที่ช่วยให้ผู้ประกอบการได้รู้ถึงข้อมูลที่ทันต่อเหตุการณ์มากยิ่งขึ้น การเลือกใช้โปรแกรมบัญชีและนักบัญชีที่ตอบโจทย์จึงมีความสำคัญมาก เพราะถ้าหากยังต้องรอข้อมูลบัญชีที่ต้องปิดประจำปี หรือประจำเดือนอยู่ บางทีจะตัดสินใจได้ก็เมื่อสายไปเสียแล้ว
ปัจจุบันมีโปรแกรมบัญชีในรูปแบบออนไลน์ที่เรียกว่า Cloud Accounting ที่สามารถใช้งานโปรแกรมได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกอุปกรณ์ มากมายหลากหลายให้เลือกใช้ เพื่อให้ผู้ประกอบการและนักบัญชีได้รับข้อมูลที่ทันต่อเหตุการณ์และช่วยให้ตัดสินใจได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าได้นักบัญชีที่เข้าใจและบริหารจัดการได้ดี ย่อมทำให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นจากข้อมูลที่มีอย่างแน่นอน
สิ่งสำคัญในเรื่องนี้ ที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จ คือ ความถูกต้องของข้อมูลที่ใส่เข้าไป ซึ่งผู้ประกอบการและนักบัญชีคงต้องมีแนวทางที่ชัดเจนร่วมกันว่า จะต้องทำบัญชีอย่างถูกต้องด้วยข้อมูลชุดเดียวกัน ไม่ใช่ทำเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีหรือปิดบังข้อมูลอีกต่อไป เพราะมองเห็นถึงประโยชน์ของการตัดสินใจทางการเงินที่ได้มากกว่าภาษีที่ประหยัดได้นั่นเอง
จัดการภาษีโดยมองว่าเป็นค่าใช้จ่าย
ความสอดคล้องของเรื่องนี้ คือ การบริหารการเงินของธุรกิจ ผมเชื่อว่า ธุรกิจที่ดีและอยู่รอดได้นั้น ต้องเป็นธุรกิจที่มีกำไรที่เพียงพอ แต่คำว่ากำไรนั้น มาจากรายได้หักออกด้วยค่าใช้จ่าย นั่นแปลว่า ยิ่งรายได้เพิ่มและค่าใช้จ่ายลดลง เราก็ยิ่งมีกำไรที่มากขึ้น ถูกไหมครับ
ในมุมของภาษี คือ รายจ่ายตัวหนึ่งที่ธุรกิจต้องจ่ายตามหน้าที่และกฎหมาย โดยสิ่งที่ธุรกิจต้องจัดการให้ชัดในอนาคตนั้น ไม่ใช่แค่การลดภาษีให้ได้มากที่สุดเพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่กลับเป็นคำถามว่า ถ้าเราต้องจ่ายภาษีเท่านี้ เรายังจะมีกำไรอยู่เท่าไร และเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจต่อไป ด้วยการใช้ข้อมูลที่ถูกต้องในการตัดสินใจ เพื่อความยั่งยืนและแข่งขันกันได้อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้ต้องการบอกว่า ห้ามประหยัดภาษี แต่ให้มองว่า ภาษีที่ต้องจ่าย คือ รายจ่ายตัวหนึ่งของธุรกิจ หากเราจ่ายมากขึ้นแล้วมีกำไรมากขึ้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะสุดท้ายสิ่งที่ธุรกิจคาดหวัง คือ กำไรที่เพิ่มขึ้น จากทั้งรายได้และค่าใช้จ่าย ไม่ใช่แค่การลดภาษีเพียงอย่างเดียว
มองเห็นต้นทุนของธุรกิจที่ต้องจ่ายกับรายได้ที่รับมา
ในฐานะคนที่ทำงานด้านบัญชี ต้องยอมรับว่า หลายธุรกิจพลาดตรงที่ไม่รู้ว่าต้นทุนที่ต้องจ่ายมีอะไร (จากการทำบัญชีที่ไม่ถูกต้อง) และละเลยการเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างรายได้กับค่าใช้จ่ายที่ได้รับมา
ตัวอย่างเช่น ต้นทุนในการจ้างนักบัญชี หลายธุรกิจมักจะมีตัวเลขในใจว่า ค่าจ้างนักบัญชีไม่ควรเกินกี่บาทต่อเดือน เพราะจะเป็นต้นทุนที่แพงเกินไปและรู้สึกไม่คุ้มค่า แต่อาจจะลืมไปว่า สิ่งที่ต้องวัดผลกลับมาไม่ใช่แค่เงินที่ต้องจ่ายให้กับนักบัญชีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสิ่งที่ได้รับ เช่น ข้อมูลในการตัดสินใจ ความถูกต้องของการทำงาน ไปจนถึงการเกิดปัญหาต่างๆ เช่น ภาษีที่ต้องจ่ายเพิ่มในภายหลัง ซึ่งถ้าหากมองกันดีๆ การที่ยอมจ่ายนักบัญชีในราคาที่คุ้มค่า จะช่วยให้ผู้ประกอบการตัดสินใจได้ดีขึ้น ซึ่งแปลว่า มีโอกาสในการสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นให้กับธุรกิจ ไปจนถึงการคุมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอย่างภาษีได้เช่นกัน
ดังนั้น อย่าลืมทบทวนด้วยว่า ต้นทุนที่ต้องจ่ายนั้น สร้างรายได้ให้ธุรกิจหรือมีประโยชน์ในระยะยาวอย่างไร เพื่อให้สามารถตัดสินใจใช้เงินได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพที่สุด
แนวคิดทั้ง 3 ข้อนี้ ไม่ใช่เพียงแนวคิดสำหรับปี 2023 ที่กำลังจะมาถึงเท่านั้น แต่เป็นแนวคิดที่ธุรกิจควรมองไปยังอนาคตข้างหน้าในโลกที่ข้อมูลสำคัญกว่าสิ่งไหนๆ ในยุค Big Data ที่ข้อมูลจำเป็นและเป็นประโยชน์ เพื่อให้เราตัดสินใจได้อย่างถูกต้องหรือเหมาะสมนั่นเอง ฉะนั้น การทำบัญชีหรือข้อมูลทางบัญชี จึงเป็นข้อมูลหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนหรือตัดสินใจทางธุรกิจ