เพราะ EV ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือ ‘คำตอบที่ดีที่สุด’ ของคนวัยทำงาน อีกขั้นของทางเลือกยุคใหม่ที่ตอบโจทย์ทุกการเดินทาง
ถ้าพูดถึงการนั่งทำงานที่ออฟฟิศหรือการทำงานที่บ้าน (Work from home) แล้ว ทุกคนน่าจะมีโมเมนต์คล้ายกันคือ พอต้องทำงานวนลูปจันทร์ถึงศุกร์ไปตลอดทั้งเดือน อยู่แต่กับงานมากๆ เข้า ความรู้สึกที่เคยมีก็เปลี่ยนไป จากวันแรกที่รู้สึกตื่นเต้น ท้าทายก็เกิดเป็น ‘อาการหมดไฟ (Burnout) หรือหมดแพชชัน’ ขึ้น
แต่พอคิดจะไปเที่ยว แพลนที่จะไปนู่นนี่นั่นก็ต้องมา ‘ชะงัก’ กับปัญหาสุดคลาสสิกอย่าง ‘เรื่องเงิน’ ทั้งคนที่มีเงินเก็บมากอยู่แล้ว หรือคนที่มีนิดหน่อยก็ตาม เพราะทุกวันนี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน อะไรที่เคยมีก็อาจไม่มีในวันพรุ่งนี้ งานที่เราทำอยู่ก็เช่นกัน
“วัยรุ่น มีพลัง มีเวลา แต่ไม่มีเงิน
วัยทำงาน มีพลัง มีเงิน แต่ไม่มีเวลา
วัยชรา มีเงิน มีเวลา แต่ไม่มีพลัง”
คิดว่าส่วนใหญ่คนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่น่าจัดอยู่บรรทัดที่ 2 คือวัยทำงานแน่ๆ แต่ต้องขีดเส้นใต้เรื่องเงินไว้ก่อนว่า ‘มีเงิน’ ในที่นี้จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ทั้งนี้ หากลองสังเกตความเชื่อมโยงของเรื่องราวด้านบนทั้งหมดแล้ว แกนที่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ และองค์ประกอบสำคัญของทุกวัย ก็คือ ‘ต้นทุนการใช้ชีวิต’
บรรดามนุษย์ออฟฟิศที่สู้ชีวิตอยู่ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกวินาที เรื่องราวสารพัดที่เข้ามาไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว ประกอบกับค่าครองชีพ ราคาข้าวของ และสินค้าอุปโภคบริโภคที่สวนทางกับรายได้ในความเป็นจริง ทั้งที่เกิดจากปัจจัยภายใน หรือภายนอก ก็ล้วนแต่ส่งผลกระทบกัน ‘ทุกหย่อมหญ้า’ เพราะอย่างราคาน้ำมันที่นับวันยิ่งพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เวลาคิดจะขยับตัวทำอะไร เดินทางไปไหน ก็ต้องวางแผนให้เข้ากับจังหวะชีวิตกันยิ่งกว่าเดิม
ด้วยเหตุนี้ รถ EV ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจึงกลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงมาก เนื่องจาก ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ช่วยประหยัดค่าน้ำมัน เข้ากับสถานการณ์เศรษฐกิจช่วงนี้ได้เป็นอย่างดี บวกกับภาครัฐประกาศนโยบายสนับสนุนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าออกมา ราคาจำหน่ายรถ EV จึงมีการปรับลดลง อย่าง NEW MG ZS EV นวัตกรรมรถพลังงานไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์ รุ่นใหม่จากเอ็มจี (MG) ที่ราคาปรับลดลงสูงสุดถึง 246,000 บาท เรียกได้ว่า เป็นนาทีทองของมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการซื้อรถใหม่ในวันที่ต้นทุนชีวิตสูงขึ้นเป็นที่สุด เพราะสามารถเป็นเจ้าของรถ EV ป้ายแดงในราคาสบายกระเป๋า สัมผัสชีวิตแบบฟินๆ ที่ไม่ต้องควักเงินหลักพันเติมน้ำมัน สามารถออกไปปลุกแพชชันให้ลุกโชน และท่องโลกได้อย่างกว้างไกล
ส่วนจะขับรถ EV ไปได้ไกลแค่ไหน? ในบทความนี้ Future Trends จะมาเล่าผลการทดสอบสมรรถนะรถ EV ของเอ็มจีภายใต้โปรเจกต์ EV Marathon กันว่า ‘จริงหรือไม่ที่รถ EV ขับขี่ได้ทั่วประเทศ และระยะทางไม่ใช่ข้อจำกัดอีกต่อไป’
รถ EV พาคุณออกไปเติมแพชชันได้ไกลสุดแค่ไหน?ส่อง EV Marathon กับการทลายข้อจำกัดแบบเดิมๆ
“รถ EV ใช้พลังงานไฟฟ้า วิ่งได้แค่ระยะใกล้ แถมต้องคอยชาร์จไฟตลอดด้วย”
“รถ EV วิ่งได้แค่ในเมือง ถ้าขับขึ้นเขาคงไม่ไหวหรอก”
“น้ำมันที่ว่าแพง แต่คงไม่เท่าราคารถ EV ที่แพงกว่า”
คุณว่าประเด็นพวกนี้จริงไหม? สำหรับใครที่กำลังมีความเข้าใจผิดๆ และเกิดความกังวลแบบนี้อยู่ เราขอบอกไว้เลยว่า ไม่เป็นความจริง เพราะปัจจุบันรถ EV ได้ถูกพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิด ดังนั้น ข้อจำกัดต่างๆ และอุปสรรคเรื่องระยะทางจึงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป!
สำหรับโปรเจกต์ EV Marathon ก็ทำให้เอ็มจีกลายเป็นแบรนด์ที่กล้าแตกต่าง เผยเบื้องหลังการทดสอบรถแบบที่ไม่เคยมีค่ายรถไหนทำมาก่อน โดยการเอารถ EV ไปพิสูจน์บน ‘เส้นทางจริง สถานการณ์จริง’ ทั่วประเทศ กับระยะทาง 4,880 กิโลเมตร ใช้เวลาขับขี่ 7 วัน ซึ่งก็ยิ่งช่วยยกระดับความเชื่อมั่นของคนไทยที่มีต่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้มากขึ้นด้วย รวมไปถึงยังเป็นการการันตีในศักยภาพของรถยนต์เอ็มจี ที่ถือเป็นผู้นำ บุกเบิกตลาดรถพลังงานไฟฟ้าเจ้าแรกในไทย และมียอดขายเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศอย่างแท้จริง
อีกทั้งยังมีการบอกเล่าถึงการทดสอบรถในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ทั้งระดับความลาดชันที่สูงกว่าปกติ (High Altitude) ในการเดินทางขึ้นเขาสู่ภาคเหนือ และระดับความลาดชันปกติ (On-Site Normal Altitude) เรียกได้ว่า ต่อให้สูง และไกลแค่ไหนก็ไม่หวั่น เพราะเอ็มจีได้ทลายทุกข้อจำกัด ความเชื่อแบบเดิมๆ ของรถ EV ได้สำเร็จ
หนึ่งเดียวที่กล้าเปิดเผยข้อมูลการทดสอบรถที่เป็นความลับ 3 ประเด็นสำคัญที่ทำให้ ‘เอ็มจี’ มั่นใจในคุณภาพ
จากความกล้าแตกต่างของเอ็มจี ที่มาบอกเล่าเรื่องราวถึงขั้นตอนการทดสอบรถแบบเจาะลึกอย่างที่ไม่เคยมีค่ายรถไหนทำมาก่อน ก็ได้ช่วยให้คนไทยเข้าใจ และกล้าเปิดใจให้กับรถ EV มากยิ่งขึ้น จึงเกิดคำถามว่า ทำไมเอ็มจีถึงกล้าเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกมากขนาดนี้? ทั้งยังนำเสนอในรูปแบบเรียลลิตี้ด้วย มาดู 3 ประเด็นสำคัญที่ทำให้เอ็มจีมั่นใจในคุณภาพกัน
1. พัฒนาแบบก้าวกระโดด ‘คิด และลงมือทำมากกว่าที่คิด’
อุ่นใจ ขับไปไหนก็สะดวก หมดกังวลเรื่องแบตเตอรี่ เพราะเอ็มจีมียุทธศาสตร์ในการวางแผนการพัฒนา จัดการกับแบตเตอรี่รถ EV ที่ค่อนข้างชัดเจน และได้รับการอนุมัติจากสำนักคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment หรือ BOI) ในการสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ ยังมุ่งมั่นพัฒนาบริการด้วยการส่งเสริมให้พนักงานมีความรู้ ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีของรถ EV เพื่อให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์แก่ลูกค้า และเตรียมความพร้อมในการเดินหน้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างแท้จริงอีกด้วย
2. รถ EV ช่วยลดค่าใช้จ่ายการเดินทาง ‘ได้จริง’
การใช้รถพลังงานไฟฟ้าไม่เพียงช่วยให้โลกน่าอยู่ขึ้นอย่างเดียว แต่ยังบอกลาปัญหาราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นทุกวัน โดยผลลัพธ์จากการทดสอบสมรรถนะ NEW MG ZS EV ในโปรเจกต์ EV Marathon ก็พิสูจน์แล้วว่า แม้ระยะทางรวมการทดสอบขับขี่จะมากถึง 4,880 กิโลเมตร แต่รถ EV ก็ยังประหยัดกว่า ใช้ค่าใช้จ่ายรวมไปแค่ 6,295.20 บาท ต่างจากรถน้ำมันที่ใช้มากถึง 11,760.80 บาท รวมไปถึงหากเฉลี่ยค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตรแล้ว EV ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจะประหยัดกว่ารถที่ใช้น้ำมันเบนซินเกือบ 2 เท่าตัว โดยรถ EV คิดเป็น 1.29 บาทต่อกิโลเมตร ในขณะที่น้ำมันนั้นสูงถึง 2.41 บาทต่อกิโลเมตรด้วยกัน
**หมายเหตุ: อ้างอิงจากราคาจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 วันที่ 15 มีนาคม 2565 ค่าเฉลี่ยของ DC Charger ช่วงเวลา On Peak / Off Peak อัตราสิ้นเปลืองจริง จากการทดสอบในทุกสภาพถนน และทุกรูปแบบการขับขี่
3. เอ็มจีเอาอยู่ทุกระยะด้วย Charging Network
ไม่ว่าจะขึ้นเหนือ ลงใต้ ตะวันออก ตะวันตก ไกลแค่ไหนก็สบายหายห่วงอย่างแน่นอน เนื่องจาก Charging Network ทำให้ตลอดเส้นทางมีสถานีชาร์จมากถึง 120 แห่งทั่วประเทศ และยังตั้งเป้าให้ทุกๆ 150 กิโลเมตร มีสถานี MG Super Charge ที่สามารถชาร์จได้รวดเร็วอย่างน้อย 1 แห่ง ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเอ็มจีแน่นอน อีกทั้งรถ EV ของเอ็มจียังสามารถเข้าใช้บริการสถานีชาร์จของภาครัฐ และเอกชนที่กระจายอยู่ทั่วประเทศได้ด้วย
รถ EV ชาร์จเร็วได้ ด้วย Quick Charge ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
NEW MG ZS EV ที่นำไปทดสอบสมรรถนะใน EV Marathon ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับทั้งการชาร์จแบบปกติ (Normal Charge) ผ่าน MG Home Charger ซึ่งติดตั้งที่บ้านด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charging) ที่ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง 15 นาที ต่อแบตเตอรี่ 0 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ และการชาร์จเร็วแบบ Quick Charge ตามสถานี MG Super Charge ด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) ที่ใช้เวลาแค่ 30 นาที ต่อแบตเตอรี่ 30 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ หากใครเป็นคนที่ชอบวางแผนก่อนเดินทาง ก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะเลยทีเดียว
นอกจากนี้ อีกหนึ่งข้อดีของรถ EV ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนที่ชอบหากิจกรรมทำนอกบ้านนั่นก็คือ สามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าจากรถสู่อุปกรณ์อื่นได้ ซึ่งก็ยิ่งเป็นแรงเสริมทำให้การใช้งานรถ EV กลายเป็นเรื่องง่าย และสะดวกสบายสำหรับคนยุคนี้มากขึ้นไปอีก
MG จากผู้ผลิต และจำหน่ายแบรนด์ระดับโลก สู่การเป็นผู้สร้าง EV Ecosystem ที่แท้จริง
ตามปกติ เรามักจะรู้จักเอ็มจีในนามของแบรนด์ผู้นำการผลิต และจัดจำหน่ายรถ EV อันดับต้นๆ ของประเทศ แต่ในความเป็นจริง เอ็มจีนั้นเป็นมากกว่าที่หลายคนคิด เพราะไม่เพียงผลิตรถยนต์ แต่ยังเป็นผู้ผลักดัน สร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ให้เกิดขึ้นจริงอย่างยั่งยืน และยกระดับศักยภาพให้แข็งแกร่งทัดเทียมโลกอีกด้วย แล้วเอ็มจีสนับสนุน EV Ecosystem ยังไงบ้าง? ลองไปดูกัน
1. เพิ่มขีดความสามารถด้วยเครือข่ายที่ ‘ครอบคลุม’
ถึงแม้เอ็มจีจะมุ่งมั่นพัฒนารถ EV ให้รองรับกับทุกไลฟ์สไตล์ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่อง ‘ความครอบคลุม’ ไม่น้อยไปกว่ากัน โดยก็ได้เร่งขยายเครือข่ายสถานีชาร์จกระจาย ‘ทั่วประเทศ’ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้ EV อย่างสมบูรณ์ทั้งระบบ ซึ่งอนาคตอันใกล้เราจะหาสถานีชาร์จได้ง่าย หรือพูดได้ว่า ทุกๆ 150 กิโลเมตร เราจะเจอ MG Super Charge อย่างน้อย 1 แห่ง
2. เพิ่มศักยภาพด้วยการพัฒนา ‘อย่างไม่หยุดยั้ง’
นอกเหนือจากการเพิ่มขีดความสามารถด้วยการขยายความครอบคลุมของสถานีชาร์จ อีกสามเรื่องที่เอ็มจีเร่งผลักดันก็คือการจัดตั้งโรงงานผลิต โรงงานรีไซเคิลแบตเตอรี่ และการส่งเสริมบุคลากรผ่านความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา พัฒนาบุคลากรคุณภาพให้เข้ามาเป็นแรงขับเคลื่อนหลักใน EV Ecosystem ของประเทศด้วย
ทั้งนี้ การสนับสนุนของเอ็มจีก็ได้ทำให้ทุกวันนี้ EV Ecosystem เกิดขึ้นจริงอย่างครบวงจร ครอบคลุมทุกมิติ และเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของยานยนต์ในปัจจุบัน ใครหัวก้าวหน้า (Early Adopter) เริ่มใช้ก่อน ก็ย่อมได้แต้มต่อกว่าอย่างแน่นอน
จากโปรเจกต์ EV Marathon การทดสอบสมรรถนะผ่านสุดยอดของการเดินทางไกลด้วยระยะทาง 4,880 กิโลเมตร ภายในเวลา 168 ชั่วโมง โดยใช้กระแสไฟฟ้าตลอดการเดินทาง 903 กิโลวัตต์ชั่วโมง จำนวนเฉลี่ยการชาร์จไฟอยู่ที่ 19 เปอร์เซ็นต์จากเวลาการทดสอบทั้งหมด (ใช้เวลาในการจอดชาร์จไฟฟ้ารวม 14 ชั่วโมง 13 นาที และใช้เวลาทดสอบรวม 73.30 ชั่วโมง) ระยะทางเฉลี่ย 697 ชั่วโมงต่อวัน การขับขี่นานที่สุด 13.20 ชั่วโมงต่อวัน และการเดินทางไกลสุด 864 กิโลเมตรต่อวัน ก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาแล้วว่า ไม่ว่าจะต้องบุกป่า ฝ่าดง ลุยน้ำ เผชิญกับเส้นทางที่สูงชัน สภาพอากาศที่แปรปรวน ทั้งร้อนจัด ฝนตกหนัก และพายุกระหน่ำจนเส้นทางขาดแค่ไหน NEW MG ZS EV ก็ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ขับขี่ได้อยู่หมัด
ท้ายที่สุด รถ EV ของเอ็มจียังสามารถใช้ได้ในชีวิตจริงเทียบเท่ากับเครื่องยนต์สันดาป บอกลาปัญหาน้ำมันแพง หมดห่วงว่า แบตเตอรี่ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง จะวิ่งได้ไม่ไกล ทลายทุกข้อจำกัด ทั้งเรื่องเงินและเวลา พาทุกคนไปเปิดหู เปิดตาทั่วประเทศ และช่วยปลุกแพชชันให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งได้สำเร็จ ผ่านการขับเคลื่อนด้วยความหลงใหล เหมือนดั่งสโลแกนของเอ็มจีที่ว่า ‘Passion Drives’ รถยนต์ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยจิตวิญญาณแห่งความหลงใหลนั่นเอง
ร่วมรับชมบทสรุปสุดทึ่งเวอร์ชันเต็มของ NEW MG ZS EV ในโปรเจกต์ EV Marathon ต่อได้ที่ : https://youtu.be/AjwksA639o4
Sources: https://bit.ly/3nCUch0