Type to search

บริษัทต้องเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้กับคนทุกเพศอย่างเท่าเทียมกัน นโยบายรองรับพนักงาน LGBTQ+ สำคัญอย่างไร ทำไมองค์กรต้องสร้างพื้นที่เป็นมิตรสำหรับ LGBTQ

June 14, 2022 By Future Trends

ในขณะที่การเรียกร้องสิทธิต่างๆ จากทางรัฐของกลุ่ม LGBTQ+ ในประเทศไทยยังคงดำเนินต่อไป นอกจากการรับรองตัวตนทางกฎหมายที่พวกเขา/เธอต้องการแล้ว ในแวดวงการทำงาน อีกหนึ่งสิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่หลายๆ คนอาจจะไม่ทันได้คิดถึง คือนโยบายของบริษัทหรือองค์กรที่รองรับตัวตนของพวกเขา/เธอด้วย

แม้ว่าปัจจุบันจะเข้าสู่ปี 2022 แล้ว แต่ชาว LGBTQ+ หลายๆ คนก็ยังคงไม่รู้สึกสบายใจ หรือกล้าที่จะเปิดเผยตัวตนของตัวเองในที่ทำงาน นอกเหนือจากการที่ยังไม่มีกฎหมายหรือสิทธิคอยคุ้มครองพวกเขา/เธออย่างครอบคลุมแล้ว ทางบริษัทหรือองค์กรหลายๆ แห่ง ก็ยังคงไม่มีนโยบายที่รองรับตัวตนของคนกลุ่มนี้เช่นกัน

ตัวอย่างเช่นการกำหนด dress code ในที่ทำงาน การป้องกันการถูกเลือกปฏิบัต หรือปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมในที่ทำงาน เป็นต้น ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ทำให้หลายๆ คนนั้นตัดสินใจที่จะไม่เปิดเผยตัวเองไปโดยปริยาย อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากลุ่ม LGBTQ+ จะมีทางเลือกในการไม่เปิดเผยตัวตนในที่ทำงาน แต่การที่องค์กรหรือบริษัทมีนโยบายที่รองตัวตนของคนกลุ่มนี้ ก็เป็นเรื่องที่ดีกว่าในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงและหลากหลายนี้ ทั้งกับกลุ่มพนักงาน LGBTQ+ เองและรวมถึงองค์กรหรือบริษัทด้วย

ทำไมบริษัทต้องมีนโยบายรองรอบกลุ่มความหลากหลายทางเพศ สำคัญจำเป็นกับคนทำงานและองค์กรอย่างไร Future Trends จะชวนทุกคนมาทำความเข้าใจพร้อมๆ กัน

ประเมินประสิทธิภาพการทำงานได้ถูกต้องมากขึ้น

ในงานที่ต้องมีการประเมินความสามารถ หรือประสิทธิภาพในทำงานของพนักงาน สิ่งสำคัญที่จะทำให้การประเมินโดยรวมนั้นออกมาถูกต้อง แม่นยำ และมีประโยชน์มากที่สุด คือการปฏิบัติและประเมินความสามารถของพนักงานแต่ละคนอย่างเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติกับใคร การมีนโยบายที่ป้องกันการเลือกปฏิบัติภายในองค์กรหรือบริษัท จึงทำให้การประเมินนั้นออกมาแม่นยำมากขึ้น ยิ่งมีนโยบายป้องกันการเลือกปฏิบัติที่ครอบคลุมพนักงานในทุกๆ กลุ่มมากเท่าไร ก็จะยิ่งช่วยให้การประเมินนั้นแม่นยำและมีประโยชน์มากเท่านั้น

ดังนั้นแล้วนโยบายที่รองรับตัวตนของกลุ่มพนักงานที่เป็น LGBTQ+ อย่างการป้องกันการถูกเลือกปฏิบัติหรือปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมในที่ทำงาน ก็จะช่วยให้การประเมินความสามารถหรือประสิทธิภาพในการทำงานโดยรวมของทีม องค์กร หรือบริษัทนั้นถูกต้อง แม่นยำ และมีประโยชน์มากขึ้น

ส่งผลดีต่อธุรกิจ

นอกเหนือจากประโยชน์ในด้านการประเมินกันภายในแล้ว อีกหนึ่งความสำคัญที่เห็นได้ชัดเจนคือในด้านธุรกิจ จากการรายงานของ US Chamber Foundation นั้น พบว่า 91% ของบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 มีนโยบายป้องกันการเลือกปฏิบัติทางเพศ และ 83% ที่มีนโยบายรองรับอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลาย ซึ่งก็สอดคล้องกับผลการศึกษาที่บอกว่า หุ้นของบริษัทที่นำนโยบายรองรับความหลากหลายทางเพศเข้ามาใช้ จะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 6.5 จุดเปอร์เซ็นต์ โดยบริษัทเหล่านี้นั้นได้สร้าง Partnerships ที่แข็งแรงกับองค์กรชุมชนและกลุ่มพนักงาน และด้วยทีมที่มีความหลากหลายนี้ก็สามารถแก้ปัญหาได้เร็ว และประสบความสำเร็จมากกว่า ทำให้บริษัทเหล่านี้นั้นทำผลงานได้ดีกว่าคู่แข่ง

สร้างบรรยากาศที่ดีและปลอดภัยในการทำงาน

บรรยากาศในการทำงานที่ดีนั้นมีนัยยะสำคัญต่อประสิทธิภาพของการทำงาน การสร้างบรรยากาศที่ทำให้พนักงานรู้สึกสบายใจ และปลอดภัยมั่นคงในการทำงาน ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้ทีมมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีกว่าอยู่แล้ว

การมีบรรยากาศการทำงานที่รู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจก็อาจจะทำให้ทีมนั้นเสียประสิทธิภาพในการทำงานไปเป็นจำนวนไม่น้อยได้ ดังนั้น การมีนโยบายที่รองรับตัวตนของพนักงานทุกกลุ่มรวมถึง LGBTQ+ ด้วยนั้น ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีในการที่จะสร้างบรรยากาศที่ดีในที่ทำงาน ให้พนักงานทุกกลุ่มนั้นรู้สึกสบายใจ และปลอดภัยในการทำงาน เพื่อที่จะรีดประสิทธิภาพการทำงานออกมาให้มากที่สุด และยังช่วยในการรั้งพนักงานเก่งๆ เอาไว้ได้อีกด้วย

เป็นการสร้างค่านิยมที่ดีให้กับองค์กรหรือบริษัท

สำหรับธุรกิจในยุคปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่า ค่านิยมขององค์กร บริษัท หรือผู้ผลิตนั้น มีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค ทั้งแนวคิดหรือทัศนคติเหล่านี้นั้นกลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีคว่ามสำคัญไม่น้อยในการที่ผู้บริโภคนั้นจะตัดสินใจเลือกซื้อหรือไม่ซื้อสินค้า/บริการใดๆ หรืออาจรวมถึงการตัดสินใจสมัครงานด้วย ดังนั้น องค์กรหรือบริษัทในปัจจุบันก็ควรให้ความสำคัญกับค่านิยมของตัวเองว่าสอดคล้องกับกระแสของผู้บริโภคหรือไม่

และอย่างที่รู้กันว่า ยุคนี้นั้นคือยุคแห่งความหลากหลายและการเรียกร้องความเท่าเทียม การที่องค์กรหรือบริษัทมีค่านิยมที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ มีนโยบายที่รองรับอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายของทุกกลุ่มซึ่งเป็นหนึ่งในค่านิยมหลักของผู้บริโภคยุคนี้ ก็ย่อมเป็นสิ่งที่จะช่วยให้องค์กรหรือบริษัทนั้นอยู่รอดต่อไปได้ในยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงนี้

โดยอาจเริ่มต้นจากการสร้างองค์ความรู้กันภายในองค์กรเกี่ยวกับเรื่องเพศ จากนั้น ก็ไปสู่การสร้างนโยบายที่รองรับตัวตนของพวกพวกเขา/เธอ เช่นการมี dress code ที่ไม่ได้ยึดติดกับเพศสภาพ หรือการส่งเสริมให้พนักงานนั้นรวมกลุ่มกัน และส่วนที่สำคัญที่สุด คืออย่าลืมที่จะมีนโยบายปกป้องสิทธิ และผลประโยชน์ของพนักงานกลุ่มนี้อย่างครอบคลุมเหมือนกับพนักงานอื่นๆ ด้วย

Sources: https://bit.ly/3QdIFls

https://bit.ly/3xOculu

https://bit.ly/3xrcTcj