Type to search

7 แนวคิดพลิกโฉมธุรกิจในงาน World Economic Forum 2025

January 22, 2025 By Kim

[ เจาะลึกโอกาสทางธุรกิจที่กำลังเกิดขึ้นในยุค Intelligent Age ]

การประชุม World Economic Forum 2025 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้รวบรวมผู้นำจากทั่วโลกมาแลกเปลี่ยนแนวคิดและสำรวจแนวโน้มใหม่ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจในยุคที่เทคโนโลยีและสังคมผสานกันอย่างลึกซึ้ง จนเรียกได้ว่าเป็นยุคแห่ง ‘Intelligent Age’ ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี แต่เป็นการปฏิวัติแนวทางการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิต โดยผู้นำในสาขาต่างๆ ได้ชี้ให้เห็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญ ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญให้กับองค์กรที่ต้องการก้าวนำในยุคใหม่นี้

[ 1. AI พลิกโฉมระบบสาธารณสุข – โอกาสใหม่สำหรับธุรกิจเฮลธ์แคร์ โดย Peter Lee, President, Microsoft Research ]

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมสาธารณสุขอย่างก้าวกระโดด แต่ปี 2025 จะเป็นปีที่เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงลึกจากการใช้งาน AI ในรูปแบบเสริม (AI-infused) ไปสู่การเป็นหัวใจสำคัญของระบบสุขภาพ (AI-first healthcare) การประยุกต์ใช้ Generative AI ไม่เพียงช่วยลดภาระงานด้านเอกสารและการบริหารจัดการข้อมูลเท่านั้น แต่ยังสามารถยกระดับคุณภาพการให้บริการและผลลัพธ์ของผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการนำ AI มาใช้ช่วยในการจดบันทึกทางการแพทย์แบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดภาระด้านเอกสารของบุคลากรทางการแพทย์ และเพิ่มเวลาให้แพทย์สามารถทุ่มเทให้กับการดูแลผู้ป่วยมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการใช้ AI เพื่อการวิเคราะห์เชิงลึกของข้อมูลสุขภาพ ที่เชื่อมโยงข้อมูลจากระดับเตียงคนไข้สู่การวิจัยในห้องปฏิบัติการ (bedside-to-bench) ข้อมูลที่เคยกระจัดกระจายจะถูกประมวลผลอย่างเป็นระบบ ทำให้เกิดการวินิจฉัยที่แม่นยำยิ่งขึ้นและค้นพบแนวทางการรักษาใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น

อีกหนึ่งเทรนด์สำคัญที่กำลังมาแรงคือ ‘AI Copilot’ ในวงการแพทย์ ซึ่งหมายถึงการใช้ AI เพื่อช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจากเวชระเบียน การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และข้อมูลภาพทางการแพทย์ เช่น X-ray, MRI หรือ CT Scan เพื่อลดข้อผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพของบุคลากรทางการแพทย์ นอกจากนี้ AI ยังสามารถช่วยในการคาดการณ์ภาวะสุขภาพล่วงหน้า เช่น การตรวจจับความเสี่ยงของโรคหัวใจหรือเบาหวาน ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพระยะยาวของผู้ป่วย

นอกจากการดูแลผู้ป่วยแล้ว ระบบ AI-first ยังมีบทบาทในการบริหารจัดการโรงพยาบาล โดยสามารถใช้ในการบริหารทรัพยากร เช่น การจัดสรรเตียง การคาดการณ์ความต้องการอุปกรณ์ทางการแพทย์ และการจัดตารางบุคลากร เพื่อให้การดำเนินงานภายในโรงพยาบาลมีประสิทธิภาพสูงสุด

สำหรับโอกาสทางธุรกิจในอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์

พัฒนาแพลตฟอร์ม AI ด้านการแพทย์

ธุรกิจสามารถลงทุนในโซลูชันที่ช่วยลดภาระงานของบุคลากรการแพทย์ เช่น ระบบจดบันทึกอัตโนมัติ หรือระบบช่วยวินิจฉัยโรค

HealthTech และการแพทย์ทางไกล (Telemedicine)

การนำ AI มาช่วยให้คำแนะนำเบื้องต้นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ช่วยลดภาระของโรงพยาบาลและเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ป่วย

AI ในการวิจัยและพัฒนาการรักษา

การใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยทางการแพทย์เพื่อพัฒนายาใหม่ๆ หรือค้นหาแนวทางการรักษาที่แม่นยำยิ่งขึ้น

การประกันสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Insurance)

ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพของผู้ใช้เพื่อนำเสนอแพ็กเกจประกันที่ตรงกับความต้องการและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ

ภายใต้โอกาสทางธุรกิจนี้มีความท้าทายที่ซ่อนอยู่ แม้ว่า AI จะช่วยปฏิวัติวงการสุขภาพได้อย่างมหาศาล แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องจัดการ เช่น ความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลสุขภาพ ความโปร่งใสในการตัดสินใจของ AI และความเชื่อมั่นของผู้ใช้งาน AI ในการตัดสินใจด้านสุขภาพ

[ 2. การพาณิชย์อวกาศ – โอกาสทางธุรกิจที่ทะยานสู่มูลค่ากว่า 61 ล้านล้านบาท โดย Dava Newman, Director, MIT Media Labs ]

การพาณิชย์อวกาศ (Space Commercialization) กำลังกลายเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นที่จับตามองจากนักลงทุนทั่วโลก คาดการณ์ว่ามูลค่าของเศรษฐกิจอวกาศทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 630,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 เป็นกว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2035 หรือราวๆ 61.14 ล้านล้านบาท ซึ่งการเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำและแหล่งเงินทุนใหม่ที่หลั่งไหลเข้าสู่ภาคส่วนนี้อย่างต่อเนื่อง

ในอดีต อุตสาหกรรมอวกาศถูกครอบงำโดยหน่วยงานภาครัฐ เช่น NASA และองค์กรทางทหารของประเทศมหาอำนาจ แต่ปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคของ ‘New Space’ ซึ่งมีเอกชนเป็นผู้นำการขับเคลื่อน ผ่านการลดต้นทุนการปล่อยจรวดและการพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เช่น การท่องเที่ยวอวกาศ การวิจัยในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอวกาศเชิงพาณิชย์

ภาคเอกชนที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมนี้ ได้แก่ SpaceX, Blue Origin, Axiom Space, และ Sierra Space ที่แข่งขันกันเพื่อสร้างสถานีอวกาศเชิงพาณิชย์ในวงโคจรต่ำของโลก (Low Earth Orbit – LEO) โดยตัวอย่างแผนพัฒนาสถานีอวกาศเชิงพาณิชย์มีดังนี้

Axiom Space เตรียมเปิดตัวโมดูลแรกในปี 2025 ซึ่งจะเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ก่อนที่ ISS จะยุติการใช้งานในปี 2030

Orbital Reef ที่นำโดย Blue Origin และ Sierra Space วางแผนสร้างสวนธุรกิจในอวกาศ ภายในปี 2030 เพื่อรองรับการใช้งานทั้งทางธุรกิจและการวิจัย

Starlab โครงการร่วมของ Voyager Space, Airbus, Mitsubishi และ MDA Space ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การสร้างสถานีอวกาศขนาดเล็กสำหรับการวิจัยและการผลิต

Vast Space มีแนวคิดในการสร้างสถานีอวกาศเชิงพาณิชย์ที่มีแรงโน้มถ่วงเทียม (Artificial Gravity) เพื่อรองรับการพำนักระยะยาวของมนุษย์

โอกาสทางธุรกิจที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมอวกาศ

การท่องเที่ยวอวกาศ

การท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์กำลังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ โดยบริษัทต่างๆ เช่น Virgin Galactic และ SpaceX เสนอการเดินทางไปยังวงโคจรโลกและแม้กระทั่งการเดินทางรอบดวงจันทร์

การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในอวกาศ

อุตสาหกรรมยาจะสามารถใช้สภาวะไร้น้ำหนักเพื่อศึกษาผลกระทบต่อยาและชีววิทยา

การสื่อสารผ่านดาวเทียม

ด้วยการขยายตัวของอินเทอร์เน็ตดาวเทียมจากบริษัทอย่าง Starlink และ Amazon’s Project Kuiper โอกาสในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกลจะเป็นไปได้มากขึ้น

เหมืองแร่ในอวกาศ

การสำรวจและขุดทรัพยากรจากดวงจันทร์และดาวเคราะห์น้อยเพื่อดึงแร่ธาตุหายาก เช่น แพลตินัมและน้ำแข็งที่อาจใช้เป็นแหล่งพลังงานในอนาคต

โครงสร้างพื้นฐานและพลังงานในอวกาศ

บริษัทสามารถพัฒนาแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ในอวกาศเพื่อส่งพลังงานกลับมายังโลก หรือสร้างสถานีเติมเชื้อเพลิงสำหรับยานอวกาศ

ซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายที่ต้องเผชิญ แม้ว่าภาคอวกาศจะเต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจ แต่ก็ยังมีความท้าทายสำคัญ เช่น ต้นทุนการดำเนินการสูง แม้ว่าต้นทุนการปล่อยจรวดจะลดลง แต่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานในอวกาศยังต้องใช้เงินทุนจำนวนมหาศาล ความยั่งยืนของกิจกรรมอวกาศ ปัญหาขยะอวกาศและผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในวงโคจรโลกเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณา รวมถึงประเด็นกฎระเบียบและข้อกฎหมาย การขยายตัวของกิจกรรมเอกชนในอวกาศจำเป็นต้องมีการกำกับดูแลที่ชัดเจน เพื่อป้องกันข้อพิพาทและปัญหาด้านความปลอดภัย

[ 3. ชุดเครื่องมือฟื้นคืนพันธุ์สัตว์สูญพันธุ์ (De-extinction Toolkit) – โอกาสใหม่ในการอนุรักษ์และสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ โดย Ben Lamm, Co-Founder and CEO, Colossal ]

แนวคิดเรื่องการฟื้นคืนพันธุ์สัตว์ที่สูญพันธุ์ (De-extinction) ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องแต่งในนิยายวิทยาศาสตร์อีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจและการอนุรักษ์ที่จับต้องได้ ด้วยการพัฒนา ‘ชุดเครื่องมือฟื้นคืนพันธุ์สัตว์สูญพันธุ์’ (De-extinction Toolkit) ซึ่งเป็นชุดเทคโนโลยีที่รวมเอาฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และเครื่องมือชีวภาพต่างๆ มาใช้ในการนำลักษณะทางพันธุกรรมที่สูญหายไปกลับคืนมา พร้อมทั้งพัฒนาแนวทางการโคลนนิ่งขั้นสูงและการสร้างฐานข้อมูลพันธุกรรมเพื่ออนุรักษ์สายพันธุ์ที่ยังหลงเหลืออยู่

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โลกต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์สูญพันธุ์ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า นักวิทยาศาสตร์และนักอนุรักษ์กำลังมองหาแนวทางใหม่ในการป้องกันการสูญพันธุ์ และการนำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้เป็นทางออกที่มีศักยภาพสูง

ประโยชน์ของ De-extinction Toolkit มีหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น

การอนุรักษ์ระบบนิเวศ

การนำพันธุ์สัตว์ดั้งเดิมกลับคืนสู่ถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติสามารถฟื้นฟูความสมดุลของระบบนิเวศและส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ

การวิจัยและพัฒนาทางชีวภาพ

เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการโคลนนิ่งและการดัดแปลงพันธุกรรมสามารถนำมาใช้ต่อยอดเพื่อพัฒนายาและแนวทางการรักษาโรคต่างๆ

โอกาสทางเศรษฐกิจ

บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพและองค์กรอนุรักษ์สามารถใช้โครงการ De-extinction เป็นโอกาสในการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และการศึกษาภาคสนาม

องค์ประกอบสำคัญของ De-extinction Toolkit

1. เครื่องมือแก้ไขพันธุกรรม (Gene Editing Tools)

เทคโนโลยีเช่น CRISPR-Cas9 ที่ช่วยในการดัดแปลงและแก้ไข DNA ของสัตว์ชนิดอื่นเพื่อให้เกิดลักษณะทางพันธุกรรมที่ต้องการ เช่น ลักษณะของสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว

2. ฐานข้อมูลพันธุกรรม (Genomic Libraries)

การจัดเก็บและวิเคราะห์ DNA ของสัตว์สูญพันธุ์เพื่อให้สามารถนำข้อมูลมาศึกษาและนำมาใช้ฟื้นคืนพันธุ์สัตว์ในอนาคต

3. โคลนนิ่งขั้นสูง (Advanced Cloning Techniques)

ใช้เทคนิคการโคลนนิ่งเซลล์เพื่อสร้างตัวอ่อนจาก DNA ของสัตว์ที่สูญพันธุ์โดยใช้เซลล์ไข่จากสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นพาหะ

4. การเพาะเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell Culturing)

พัฒนาการเติบโตของเซลล์และอวัยวะภายในห้องปฏิบัติการเพื่อใช้ในการปลูกถ่ายกลับสู่สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ

5. การควบคุมการเพาะพันธุ์ (Selective Breeding Programs)

การควบคุมการผสมพันธุ์ของสัตว์ที่มีลักษณะใกล้เคียงกันเพื่อนำกลับมาสร้างประชากรใหม่ของสายพันธุ์ที่หายไป

แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่การฟื้นคืนพันธุ์สัตว์สูญพันธุ์ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น จริยธรรมและกฎระเบียบ การนำสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วกลับคืนมาอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศดั้งเดิมและกระทบต่อความสมดุลของสิ่งแวดล้อม ต้นทุนทางการเงิน การดำเนินโครงการฟื้นคืนพันธุ์สัตว์ต้องใช้ทรัพยากรทางการเงินมหาศาลตั้งแต่การวิจัยไปจนถึงการปล่อยสัตว์สู่ธรรมชาติ การยอมรับของสังคม ความคิดเห็นของสาธารณชนต่อการนำสัตว์สูญพันธุ์กลับมาอาจมีทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ซึ่งต้องอาศัยการสื่อสารและให้ความรู้ที่เหมาะสม

[ 4. Data Fidelity – มาตรฐานใหม่ของความแม่นยำในการจัดการข้อมูล โดย Jake Loosararian, Co-Founder and CEO, Gecko Robotics ]

ในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นหัวใจสำคัญของทุกอุตสาหกรรม ความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูล (Data Fidelity) เป็นปัจจัยสำคัญที่องค์กรต้องให้ความสำคัญมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานกลางที่กำหนดระดับความแม่นยำของข้อมูลที่ใช้ในระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือการวิเคราะห์ธุรกิจแบบเจาะลึก ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ การดำเนินธุรกิจ และความสามารถในการแข่งขัน

ตัวอย่างสำคัญคือการเปิดตัวแพลตฟอร์ม Cosmos โดย Nvidia ในงาน CES 2025 ซึ่งเป็นโมเดลที่ออกแบบมาเพื่อฝึกระบบ AI ที่อาศัยข้อมูลภาพจำนวนมหาศาล ความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของชุดข้อมูลที่ใช้เรียนรู้ ดังนั้นบริษัทที่สามารถลงทุนและพัฒนาแหล่งข้อมูลคุณภาพสูง จะมีความได้เปรียบทางการแข่งขันเหนือบริษัทที่ใช้ข้อมูลทั่วไป

โอกาสทางธุรกิจที่เกิดขึ้นใน Data Fidelity

บริษัทที่พัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของข้อมูล จะกลายเป็นพันธมิตรสำคัญของธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม

การสร้างมาตรฐานใหม่ในการประเมิน Data Fidelity สามารถช่วยให้ธุรกิจลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด และปรับปรุงคุณภาพการให้บริการได้

การผสานการทำงานของข้อมูลที่มีความแม่นยำสูงใน AI และระบบอัตโนมัติ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์แนวโน้มและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น

แม้ว่าการเพิ่มความแม่นยำของข้อมูลจะนำไปสู่ประโยชน์มหาศาล แต่ธุรกิจจำเป็นต้องคำนึงถึงต้นทุนและความซับซ้อนของการบริหารจัดการข้อมูล รวมถึงการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล

[ 5. Digital Brains – ยุคใหม่ของการสร้างสมองดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ โดย Henry Markram, Neuroscientist Professor, Ecole Polytechnique Fédérale de Lausanne ]

แนวคิดเรื่อง Digital Brains หรือ สมองดิจิทัล ไม่ได้เป็นเพียงแค่การพัฒนาคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำความเข้าใจและจำลองระบบความซับซ้อนของสมองมนุษย์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม การพัฒนาสมองดิจิทัลมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบอัจฉริยะที่สามารถคิด วิเคราะห์ ปรับตัว และเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ คล้ายกับวิธีที่สมองมนุษย์ทำงาน

ในยุคที่ปัญหาทางธุรกิจและสังคมมีความซับซ้อนมากขึ้น การใช้ระบบอัจฉริยะที่สามารถคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking) และตัดสินใจโดยอิงจากข้อมูลมหาศาล (Big Data-Driven Decision Making) จะช่วยให้องค์กรก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์และระบบอัตโนมัติแบบดั้งเดิม ระบบสมองดิจิทัลจะมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น

การแพทย์

การใช้สมองดิจิทัลเพื่อสร้างระบบวิเคราะห์และวินิจฉัยโรคที่มีความแม่นยำสูงขึ้น

การเงิน

การบริหารความเสี่ยงโดยอิงจากการคาดการณ์พฤติกรรมของตลาดแบบเรียลไทม์

หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ

การพัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถเรียนรู้และโต้ตอบกับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

การขนส่ง

สมองดิจิทัลสามารถช่วยปรับเส้นทางการขนส่งที่มีประสิทธิภาพที่สุดโดยพิจารณาจากเงื่อนไขการจราจรและความต้องการแบบเรียลไทม์

โอกาสทางธุรกิจจากสมองดิจิทัล องค์กรที่สามารถบูรณาการเทคโนโลยีสมองดิจิทัลเข้ากับระบบการทำงานของตนจะสามารถเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และสร้างนวัตกรรมได้อย่างก้าวกระโดด เช่น การนำสมองดิจิทัลไปใช้ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เพื่อวิเคราะห์บุคลิกภาพและศักยภาพของพนักงาน ทำให้สามารถวางแผนเส้นทางอาชีพและพัฒนาศักยภาพได้อย่างแม่นยำขึ้น

แม้ว่าแนวคิดสมองดิจิทัลจะเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ แต่การนำไปใช้จริงยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทรัพยากรในการประมวลผลสูง สมองดิจิทัลต้องการโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่ทรงพลัง เช่น Quantum Computing หรือ Supercomputers รวมไปถึงข้อกังวลด้านจริยธรรมและความเป็นส่วนตัว การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์อาจนำไปสู่ปัญหาด้านความเป็นส่วนตัว และต้องคำนึงถึงจริยธรรมในการใช้งานอย่างเหมาะสมด้วย

[ 6. First-Mover Advantage in Quantum Computing – โอกาสทองของผู้นำที่กล้าเสี่ยงในโลกควอนตัม โดย Sabrina Maniscalco, CEO and Co-Founder, Algorithmiq ]

การเข้าสู่ยุคของ Quantum Computing หรือคอมพิวเตอร์เชิงควอนตัม กำลังเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของธุรกิจทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เทคโนโลยีนี้สามารถประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนและแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ระบบดิจิทัลแบบดั้งเดิมไม่สามารถทำได้ โดยเฉพาะในด้านต่างๆ เช่น การพยากรณ์ตลาดการเงิน การพัฒนายารักษาโรค และการเพิ่มประสิทธิภาพในซัพพลายเชน

สำหรับองค์กรที่กล้าลงทุนในเทคโนโลยีนี้ตั้งแต่ช่วงต้น ย่อมมีโอกาสในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน (First-Mover Advantage) และควบคุมตลาดก่อนคู่แข่ง การปรับตัวและการเข้าใจโอกาสทางธุรกิจที่ Quantum Computing นำเสนอจึงเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์ในปี 2025

องค์กรที่สามารถเข้าถึงและลงทุนใน Quantum Computing ได้ก่อนจะมีความได้เปรียบในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น

การเข้าถึงทรัพยากรและความสามารถทางเทคโนโลยี

การเป็นผู้เริ่มต้นก่อนทำให้สามารถดึงดูดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และครอบครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้อง

การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม

บริษัทที่ลงทุนตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจะสามารถพัฒนาโซลูชันที่แข่งขันได้ในระยะยาว พร้อมสร้างพันธมิตรทางธุรกิจและขยายขอบเขตตลาด

การได้เปรียบในการตั้งมาตรฐานอุตสาหกรรม

การเข้ามาในตลาดก่อนทำให้สามารถกำหนดแนวทางและมาตรฐานที่ผู้อื่นต้องปฏิบัติตามได้

โอกาสทางธุรกิจของ Quantum Computing

การเงินและการลงทุน

การใช้ควอนตัมคอมพิวติ้งเพื่อสร้างแบบจำลองทางการเงินที่ซับซ้อน วิเคราะห์ความเสี่ยง และคาดการณ์แนวโน้มตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น

การพัฒนายาและชีววิทยาศาสตร์

ความสามารถในการจำลองโครงสร้างโมเลกุลและแบบจำลองทางชีวภาพ เพื่อพัฒนาการรักษาโรคได้เร็วขึ้น

โลจิสติกส์และซัพพลายเชน

การวิเคราะห์และเพิ่มประสิทธิภาพในระบบขนส่งและการจัดการสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์

ความปลอดภัยทางไซเบอร์

การเข้ารหัสข้อมูลขั้นสูงเพื่อปกป้องข้อมูลจากการโจมตีทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้น

แม้ว่า Quantum Computing จะเปิดโอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็มีอุปสรรคและข้อจำกัดที่องค์กรต้องเตรียมพร้อมรับมือ เช่น ค่าใช้จ่ายในการลงทุนสูง ข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เทคโนโลยีควอนตัมยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการใช้งานจริงยังต้องอาศัยการพัฒนาต่อเนื่อง รวมถึงการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านควอนตัมคอมพิวติ้ง

[ 7. GenAI และ Cognitive Security – ความท้าทายและโอกาสใหม่ในยุค AI โดย Philip Reiner, CEO and Founder, Institute for Security and Technology ]

การเติบโตอย่างรวดเร็วของ Generative AI กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีที่มนุษย์โต้ตอบและใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน Cognitive Security หรือความปลอดภัยทางด้านความคิดและการรับรู้ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ธุรกิจและภาครัฐต้องให้ความสำคัญ ในปี 2025 GenAI จะไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้คนทำงานได้สะดวกขึ้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อกระบวนการคิด การตัดสินใจ และโครงสร้างทางสังคมในระดับลึก

Cognitive Security หมายถึงแนวทางในการปกป้องความคิดและกระบวนการตัดสินใจของมนุษย์จากอิทธิพลของเทคโนโลยี AI ที่อาจถูกนำมาใช้ในทางที่ผิด เช่น การเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน (Disinformation) การสร้างความเข้าใจผิดผ่าน Deepfake หรือการโน้มน้าวให้ผู้ใช้งานตกอยู่ในอคติ โดยไม่รู้ตัว ด้วยศักยภาพของ GenAI ในการเลียนแบบภาษาธรรมชาติและสร้างเนื้อหาที่เหมือนจริงมากขึ้น ความเสี่ยงด้าน Cognitive Security จึงเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

โอกาสทางธุรกิจจาก GenAI และ Cognitive Security

การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย AI

ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว GenAI สามารถช่วยแบรนด์ในการทำความเข้าใจและสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่เป็นส่วนตัวยิ่งขึ้น ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและการสร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย

การพัฒนาเครื่องมือป้องกันการโจมตีข้อมูล

บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์สามารถใช้ AI เพื่อสร้างระบบตรวจจับการโจมตีที่ฉลาดขึ้น ตรวจสอบพฤติกรรมการใช้งานที่ผิดปกติ และป้องกันการโจมตีที่ใช้ AI ในการโจมตีข้อมูล

การวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของข้อมูล

แพลตฟอร์มออนไลน์และสื่อสามารถนำ AI มาใช้ในการกลั่นกรองเนื้อหา ตรวจจับข่าวปลอม (Fake News) และส่งเสริมการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อสร้างความไว้วางใจในระยะยาว

การใช้ AI เพื่อส่งเสริมสุขภาพจิต

การพัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้ AI เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสุขภาพจิตของตนเอง พร้อมคำแนะนำที่ถูกต้องตามบริบท ลดความเสี่ยงของการถูกชักจูงในเชิงลบ

แม้ว่า GenAI จะมอบโอกาสมากมาย แต่ก็มีความท้าทายสำคัญที่ธุรกิจต้องจัดการ เช่น การรักษาสมดุลระหว่างอัตโนมัติและความเป็นมนุษย์ การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล ความเสี่ยงต่อการสร้างความอคติในระบบ AI เป็นต้น

[ สรุป ]

การประชุม World Economic Forum 2025 ได้เผยให้เห็นแนวโน้มสำคัญจากผู้นำระดับโลก ที่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางของโลกธุรกิจในยุค Intelligent Age ตั้งแต่การปฏิวัติวงการสุขภาพด้วย Generative AI ไปจนถึงโอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมอวกาศและการพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัม

แนวโน้มเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าธุรกิจต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว ลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสม และพิจารณาด้านจริยธรรมและความยั่งยืนอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ หรือการรักษาสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความมั่นคงทางปัญญาของมนุษย์

อนาคตของธุรกิจขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวและก้าวนำหน้า องค์กรที่สามารถผสานเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ากับกลยุทธ์ธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะมีความได้เปรียบในการแข่งขัน และสามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีวิสัยทัศน์ที่ยั่งยืน ร่วมมือกันในทุกภาคส่วน และเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายเพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสังคมอย่างมั่นคง

เขียนโดย ธนพนธ์ หัสกรรัตน์