ในยุคที่การตลาดดิจิทัลเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว องค์กรไม่เพียงแค่ต้องปรับตัว แต่ยังต้องพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในทุกช่วงเวลา แต่ในขณะเดียวกันปี 2025 ก็เป็นปีแห่งโอกาสสำคัญในการทบทวนและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดของคุณ
บทความนี้ Future Trends จะพาคุณไปสำรวจ ‘10 เทรนด์การตลาดดิจิทัลที่สำคัญในปี 2025’ จาก ‘Search Engine Journal’ เพื่อช่วยให้องค์กรของคุณสามารถกำหนดทิศทางใหม่ที่มั่นคงและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
[ เทรนด์ที่ 1. Digital Marketing Fundamentals ]
การตลาดดิจิทัลในปี 2025 จะเรียกร้องให้องค์กรหันกลับมาทบทวนและเสริมสร้างพื้นฐานของกลยุทธ์ดิจิทัลใหม่อีกครั้ง ความสำเร็จไม่ได้มาจากการวิ่งไล่ตามเทรนด์ใหม่ๆ เท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับลูกค้า การกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และการจัดการช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
สิ่งสำคัญคือองค์กรต้องเรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมา เช่น ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลายองค์กรต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการตลาดดิจิทัลอย่างเร่งด่วน โดยเริ่มต้นจากการพูดคุยกับลูกค้ามากขึ้น ปรับปรุงข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย ทบทวนเส้นทางการซื้อของลูกค้า และเปลี่ยนกลยุทธ์การกระจายเนื้อหาไปยังช่องทางที่เหมาะสม
สำหรับปี 2025 การวางรากฐานการตลาดดิจิทัลควรเน้นการสร้างแผนที่ชัดเจนในการเข้าถึงลูกค้า การตั้งเป้าหมายทางธุรกิจที่วัดผลได้ และการใช้งานเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ การสื่อสารต้องมีความยืดหยุ่นและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงการจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมการตลาด เช่น การใช้โซเชียลมีเดีย การจัดการเว็บไซต์ และการปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เมื่อองค์กรสามารถกลับมามุ่งเน้นที่พื้นฐานเหล่านี้ได้อย่างแข็งแรง การพัฒนากลยุทธ์ที่ล้ำสมัยเพื่อแข่งขันในตลาดดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วก็จะเป็นไปได้อย่างราบรื่นและยั่งยืน
[ เทรนด์ที่ 2. Artificial Intelligence ]
ในปี 2025 ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการตลาดดิจิทัล โดยมีบทบาทอย่างมากในกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล การแบ่งกลุ่มลูกค้า และการสร้างแคมเปญการตลาดที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) ด้วยความสามารถของ AI ในการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่แบบเรียลไทม์
นักการตลาดสามารถเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เช่น การแนะนำสินค้าเฉพาะบุคคลผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้งาน หรือการสร้างประสบการณ์แบบอินเตอร์แอคทีฟผ่านเทคโนโลยี Chatbots และระบบอัตโนมัติที่รองรับคำถามลูกค้าได้ตลอดเวลา
AI ยังช่วยสร้างเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้เครื่องมือ Generative AI เพื่อผลิตบทความ โพสต์โซเชียลมีเดีย หรือคำอธิบายสินค้าในปริมาณมาก โดยไม่ลดทอนคุณภาพลง การพัฒนาแคมเปญโฆษณาก็สามารถทำได้รวดเร็วขึ้นด้วยฟีเจอร์อัตโนมัติ เช่น การทดสอบ A/B Testing หรือการปรับแคมเปญให้เหมาะสมตามข้อมูลที่ได้รับแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ AI ยังช่วยนักการตลาดวางแผนกลยุทธ์ด้วยการใช้การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predictive Analytics) เพื่อมองเห็นแนวโน้มของตลาดและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ
อย่างไรก็ตาม การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจสร้างความกังวลในแง่ของความสมดุลระหว่างระบบอัตโนมัติและ Human Touch ซึ่งยังคงมีความสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า ผู้บริหารระดับสูงจึงควรมุ่งมั่นหาวิธีผสมผสานระหว่าง AI และการสื่อสารเชิงมนุษย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพและยังคงความอบอุ่นในการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า
ท้ายที่สุดแล้ว AI ไม่ใช่เพียงเครื่องมือ แต่เป็นส่วนเสริมที่จะช่วยให้นักการตลาดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การวางแผนจนถึงการดำเนินการ ทั้งหมดนี้เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและเปลี่ยนแปลงแนวทางการตลาดดิจิทัลให้ก้าวสู่อนาคตที่ดีกว่า
[ เทรนด์ที่ 3. Digital Analytics ]
ในปี 2025 การวิเคราะห์ดิจิทัลจะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจทางการตลาด โดยมุ่งเน้นไปที่การวัดผลและแสดงผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริหารระดับสูง ธุรกิจจำนวนมากเริ่มให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ทางธุรกิจ (Business Outcomes) เช่น จำนวนการเข้าชมเว็บไซต์ การสร้างลูกค้าเป้าหมาย และยอดขาย เป็นตัวชี้วัดสำคัญ แทนที่จะเน้นเพียงตัวชี้วัดเชิงปริมาณ เช่น การเข้าถึง และความถี่เหมือนในอดีต
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ในเรื่องของการวัดผลอย่างแม่นยำ เช่น การรับข้อมูลจากฝั่งผู้ขาย ความโปร่งใสของตำแหน่งโฆษณา และปัญหาความปลอดภัยของแบรนด์
ในปีนี้ นักการตลาดดิจิทัลจะต้องหันมาให้ความสำคัญกับการวัดผลที่เรียกว่า ‘Incrementality’ ซึ่งหมายถึงการวัดผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจริงจากกิจกรรมการตลาด หากไม่มีการดำเนินการนั้น ผลลัพธ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นเลย วิธีนี้ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยให้นักการตลาดได้รับงบประมาณเพิ่มเติมจากผู้บริหารระดับสูง
ในทางปฏิบัติ การวิเคราะห์ดิจิทัลยังต้องเผชิญกับความท้าทายในด้านการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและการผสานข้อมูลจากหลายแพลตฟอร์ม เช่น การวัดผลโฆษณาที่แสดงบนเว็บไซต์หรืออุปกรณ์ที่ปิดการใช้งาน (Turned-off Devices) หรือโฆษณาบนเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับโฆษณาโดยเฉพาะ (Made-for-Advertising Sites)
นอกจากนี้ เครื่องมือวิเคราะห์ดิจิทัลจะต้องพัฒนาให้มีความสามารถในการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ เพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การสร้างแดชบอร์ดที่เข้าใจง่ายและแสดงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เช่น การเปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างกลยุทธ์ที่ใช้ในปัจจุบันและกลยุทธ์ใหม่ๆ จะช่วยให้องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนแผนงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ในสภาพแวดล้อมที่การแข่งขันรุนแรงขึ้น การวิเคราะห์ดิจิทัลที่มีความแม่นยำและลึกซึ้งจะไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่จะกลายเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การตลาดในยุคดิจิทัล ช่วยให้องค์กรเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริงและตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
[ เทรนด์ที่ 4. Digital Advertising ]
ในปี 2025 การโฆษณาดิจิทัลจะต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ในการหาสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และความสามารถในการสร้างสรรค์ของมนุษย์ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือแคมเปญโฆษณาช่วงวันหยุดของ Coca-Cola ซึ่งใช้ AI ในการสร้างเนื้อหาโฆษณา แต่กลับได้รับคำวิจารณ์เชิงลบเนื่องจากขาดความอบอุ่นและความลึกซึ้งทางอารมณ์ที่โฆษณาที่สร้างโดยมนุษย์สามารถสื่อสารได้
ผู้เชี่ยวชาญด้านการโฆษณาได้เตือนว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาจากการสังเคราะห์ ที่มาพร้อมกับเนื้อหาโฆษณาที่สร้างโดย AI อาจลดทอนผลกระทบเชิงบวกที่มีต่อผู้ชม ดังนั้นนักการตลาดจะต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบเกี่ยวกับการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี AI และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ในแคมเปญต่างๆ
การพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างต่อเนื่อง เช่น ระบบการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์และระบบการปรับแต่งโฆษณาช่วยให้การโฆษณาดิจิทัลมีความแม่นยำและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้ AI อย่างเข้มข้นยังสร้างความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของแบรนด์และการปฏิบัติตามมาตรฐานความเป็นส่วนตัว นักการตลาดจึงต้องมีความรอบคอบในการเลือกใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค
อีกหนึ่งแนวโน้มสำคัญคือการโฆษณาแบบ Omnichannel Advertising ซึ่งผสานรวมโฆษณาผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย การค้นหา และแพลตฟอร์มวิดีโอ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นสำหรับผู้บริโภค การโฆษณาที่เน้นความต่อเนื่องและความสอดคล้องของข้อความระหว่างช่องทางช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความน่าเชื่อถือของแบรนด์
สุดท้าย การวัดผลลัพธ์ของการโฆษณาดิจิทัลจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่นักการตลาดต้องให้ความสนใจ การวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่วัดได้จริง เช่น การสร้างลูกค้าเป้าหมายหรือยอดขาย จะช่วยให้สามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงทีและเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญในระยะยาว
[ เทรนด์ที่ 5. SEO ]
ในปี 2025 กลยุทธ์ SEO จะก้าวสู่ยุคใหม่ที่มุ่งเน้นการผสานรวมหลายช่องทางและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากขึ้น แม้ว่า Google จะยังคงครองตลาดการค้นหา โดยมีส่วนแบ่งตลาดกว่า 83.5% แต่แพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น YouTube (7%) และ ChatGPT (4.3%) ก็กำลังท้าทายความเป็นผู้นำในพื้นที่นี้
การทำ SEO จะต้องครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มที่มีการเติบโตสูง เช่น YouTube ซึ่งกำลังกลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับการค้นหาและบริโภคข้อมูลในรูปแบบวิดีโอ
หนึ่งในเทรนด์สำคัญของ SEO ในปีนี้คือการเน้นสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความตั้งใจของผู้ใช้งาน มากกว่าการเน้น Keyword แบบเดิม นักการตลาดต้องทำความเข้าใจถึงความต้องการและพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายในแต่ละขั้นตอนของ Customer Journey และสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง พร้อมกับปรับแต่งให้เหมาะสมกับรูปแบบการค้นหา เช่น การค้นหาด้วยเสียง หรือการค้นหาผ่าน AI
การเพิ่มประสิทธิภาพใน SEO ยังรวมถึงการพัฒนาประสบการณ์ผู้ใช้ หรือ UX โดยการออกแบบเว็บไซต์ให้ตอบสนองรวดเร็ว มีความปลอดภัย และเป็นมิตรต่ออุปกรณ์พกพา ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับที่สูงขึ้น แต่ยังเพิ่มอัตราการแปลเปลี่ยนเป็นลูกค้าได้อีกด้วย
อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือบทบาทของ AI ใน SEO เช่น การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูล คาดการณ์แนวโน้มการค้นหา และแนะนำกลยุทธ์ที่เหมาะสม นอกจากนี้ AI ยังช่วยให้สามารถสร้างและปรับแต่งเนื้อหาได้ในระดับที่ลึกซึ้งขึ้น เช่น การแนะนำหัวข้อเนื้อหา การสร้างบทความ หรือการปรับแต่งข้อความให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
สุดท้าย SEO ในปี 2025 จะไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเพิ่มอันดับในหน้าผลลัพธ์ของการค้นหา แต่ยังรวมถึงการสร้างแบรนด์และความน่าเชื่อถือในระยะยาว การทำ SEO ในยุคนี้จึงต้องเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างความคิดสร้างสรรค์ ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค และการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของทั้งผู้ใช้งานและอัลกอริธึม
[ เทรนด์ที่ 6. Content Marketing ]
ในปี 2025 Content Marketing ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล โดยมีการพัฒนารูปแบบและแนวทางเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและการเติบโตของเทคโนโลยี AI
โดยมีผลการสำรวจจาก CMI (Content Marketing Institute) ชี้ให้เห็นว่า 56% ของนักการตลาดรู้สึกถึงแรงกดดันอย่างมากในการเพิ่มประสิทธิภาพและผลลัพธ์ของการทำงานด้วยทรัพยากรที่จำกัด เทคโนโลยี Generative AI ถูกนำมาใช้มากขึ้นในการสร้างสรรค์เนื้อหา ไม่ว่าจะเป็นบทความ โพสต์โซเชียลมีเดีย หรือวิดีโอ เพื่อเพิ่มความเร็วในการผลิตและลดต้นทุน
อย่างไรก็ตาม AI ไม่ได้เป็นเครื่องมือวิเศษที่สามารถแทนที่ความคิดสร้างสรรค์ได้โดยสมบูรณ์ นักการตลาดต้องตระหนักว่า AI เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยขยายขอบเขตของสิ่งที่มีอยู่แล้ว หากกลยุทธ์ที่ใช้อยู่ยังขาดความคิดสร้างสรรค์หรือไม่สามารถสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำได้ การใช้ AI อาจจะเป็นเพียงแค่การขยายจุดอ่อนเหล่านั้นให้เห็นชัดเจนขึ้นเท่านั้น
ในทางกลับกัน หากกลยุทธ์มุ่งเน้นการสร้างวิดีโอที่น่าสนใจ การเล่าเรื่องที่มีคุณค่า และประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร AI จะช่วยเสริมศักยภาพและเพิ่มความสามารถในการขยายผลลัพธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
แน่นอนว่า Content Marketing ยังต้องมุ่งเน้นการตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้บริโภคที่ต้องการเนื้อหาที่เป็นส่วนตัว และมีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาโดยตรง การใช้ข้อมูลผู้บริโภค เพื่อปรับแต่งเนื้อหาและการสื่อสารในแต่ละช่องทางเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ
นอกจากนี้ การสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเทรนด์สำคัญ เช่น ความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว
สุดท้าย การวัดผลลัพธ์ของ Content Marketing เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม นักการตลาดต้องพัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์และตัวชี้วัดใหม่ๆ ที่สามารถประเมินความสำเร็จของแคมเปญได้อย่างครอบคลุม ทั้งในด้านการสร้างการรับรู้ การมีส่วนร่วม และการแปลงยอดขาย การผสมผสานระหว่างความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยีขั้นสูงคือกุญแจสำคัญในการสร้างกลยุทธ์การตลาดเนื้อหาที่ประสบความสำเร็จในปีนี้
[ เทรนด์ที่ 7. Social Media Marketing ]
ในปี 2025 การตลาดโซเชียลมีเดียมีความซับซ้อนและการแข่งขันที่สูงขึ้น ด้วยจำนวนแพลตฟอร์มที่เพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้ใช้งาน นักการตลาดจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เพื่อให้เหมาะสมกับเทรนด์ใหม่ๆ และตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้บริโภค
หนึ่งในเทรนด์ที่โดดเด่นคือการเติบโตของแพลตฟอร์มใหม่อย่าง BlueSky ซึ่งกลายเป็นตัวเลือกสำหรับกลุ่มนักข่าวและผู้นำทางความคิดเห็นในสหรัฐอเมริกาโดยยอดการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 519% หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2024
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเลือกแพลตฟอร์มสำหรับการตลาดยังคงต้องอ้างอิงข้อมูลเชิงลึกและพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย แม้แพลตฟอร์มใหม่จะมีโอกาสในการเติบโต แต่ข้อมูลจาก Similarweb แสดงให้เห็นว่าแพลตฟอร์มหลักอย่าง YouTube, Facebook และ Instagram ยังคงครองความนิยมสูงสุด
โดย YouTube มีผู้เข้าชมกว่า 29.1 พันล้านครั้งต่อเดือนในปีที่ผ่านมา ในขณะที่ BlueSky มียอดการเข้าชมอยู่ที่ 75.9 ล้านครั้ง ซึ่งยังคงถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มหลัก
นักการตลาดจึงควรจัดสรรทรัพยากรและบุคลากรอย่างเหมาะสม โดยการลงทุนในแพลตฟอร์มที่มีศักยภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมาก เช่น YouTube ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญในการสร้างเนื้อหาวิดีโอที่มีคุณภาพและน่าสนใจ ในขณะเดียวกันควรสำรวจโอกาสจากแพลตฟอร์มใหม่ๆ อย่าง BlueSky เพื่อไม่ให้พลาดเทรนด์ที่อาจกลายเป็นกระแสหลักในอนาคต
นอกจากนี้ การสร้างสรรค์เนื้อหาบนโซเชียลมีเดียต้องเน้นความสร้างสรรค์ ความถูกต้อง และความเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมาย แพลตฟอร์มอย่าง TikTok และ Instagram ยังคงเป็นพื้นที่ที่นักการตลาดสามารถทดลองและสร้างกระแสไวรัลได้
สุดท้าย การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแคมเปญโซเชียลมีเดียเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้นักการตลาดปรับปรุงกลยุทธ์และเพิ่มผลลัพธ์ได้อย่างต่อเนื่องในปีนี้
[ เทรนด์ที่ 8. Digital PR ]
ในยุคดิจิทัลปี 2025 การประชาสัมพันธ์กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่องค์กรใช้สร้างชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณะ
เทรนด์ที่โดดเด่นคือการผสานระหว่างกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์แบบดั้งเดิมกับเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสร้างแคมเปญที่ทรงพลังและส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ในขณะที่ 34% ของ CMO จากบริษัท Fortune 500 มีหน้าที่ดูแลการสื่อสารร่วมกับการตลาด องค์กรจำเป็นต้องมีแนวทางที่ชัดเจนในการปรับกลยุทธ์ Digital PR ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการตลาดที่ครอบคลุมทุกช่องทาง
Digital PR ในปีนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์หรือสร้างความสัมพันธ์กับสื่อมวลชนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างแคมเปญที่เน้นความสร้างสรรค์และการบอกเล่าเรื่องราวที่น่าดึงดูดใจ ตัวอย่าง การสร้างแคมเปญประชาสัมพันธ์แบบครบวงจรที่รวมถึงการผลิตเนื้อหาเชิงสร้างสรรค์ การจัดกิจกรรมออนไลน์ และการใช้ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง
การวางแผนและดำเนินแคมเปญ Digital PR ที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายและการใช้เครื่องมือดิจิทัลที่เหมาะสม เช่น การสร้างวิดีโอไวรัล การใช้โซเชียลมีเดียเพื่อกระจายข่าวสาร และการสร้างความร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและการเข้าถึงแคมเปญ
ในขณะเดียวกัน การวัดผลสำเร็จของ Digital PR ไม่ได้จำกัดอยู่ที่จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์หรือยอดการแชร์บนโซเชียลมีเดียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการวิเคราะห์ผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือขององค์กร การติดตามความคิดเห็นและความรู้สึกของสาธารณะต่อแคมเปญผ่านเครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูงช่วยให้องค์กรสามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
[ เทรนด์ที่ 9. Influencer Marketing ]
การตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ในปี 2025 ยังคงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย แต่ด้วยความหลากหลายของแพลตฟอร์มและความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI รูปแบบของการทำ Influencer Marketing ก็ได้พัฒนาไปอีกขั้น
การเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่จำนวนผู้ติดตาม แต่ยังต้องคำนึงถึงความเหมาะสมในเชิงกลยุทธ์ เช่น การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงและการสร้างเนื้อหาที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์
ในยุคนี้ ความร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การจ้างให้โปรโมตสินค้า แต่ยังรวมถึงการทำงานร่วมกันในเชิงสร้างสรรค์ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ร่วมกันออกแบบ การจัดกิจกรรมออนไลน์ หรือการสร้างเนื้อหาที่มีความเป็นเอกลักษณ์ อินฟลูเอนเซอร์ยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของแบรนด์ในระยะยาว ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับกลุ่มเป้าหมาย
สิ่งสำคัญที่สุดคือการผสมผสานระหว่างความเชี่ยวชาญของมนุษย์และข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อสร้างแคมเปญที่สมดุลและมีประสิทธิภาพ แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จใน Influencer Marketing จะต้องเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่เพียงแค่มีอิทธิพลในแวดวงของพวกเขา แต่ยังสามารถถ่ายทอดคุณค่าและวิสัยทัศน์ของแบรนด์ให้กลายเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้ติดตามได้อย่างแท้จริง
[ เทรนด์ที่ 10. Omnichannel Marketing ]
ในปี 2025 การตลาดแบบ Omnichannel ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ดิจิทัล โดยเฉพาะในยุคที่ลูกค้าคาดหวังประสบการณ์ที่ราบรื่นและสอดคล้องกันในทุก Touchpoint ไม่ว่าจะเป็นช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์ แนวคิด Omnichannel ไม่ได้หมายถึงการมีช่องทางการขายหรือการสื่อสารหลายช่องทางเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการผสานช่องทางเหล่านั้นเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อเพื่อสร้างประสบการณ์ที่เป็นเอกภาพและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกขั้นตอนของ Customer Journey
องค์กรที่ประสบความสำเร็จในการใช้ Omnichannel จะต้องมีการวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงทุกแผนก เช่น การตลาด การขาย และการบริการลูกค้า โดยอาศัยข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางมาวิเคราะห์และปรับใช้ให้เหมาะสม ตัวอย่าง การใช้ข้อมูลจากการช็อปปิ้งออนไลน์เพื่อสร้างข้อเสนอพิเศษที่ตรงใจลูกค้าขณะเยี่ยมชมหน้าร้าน หรือการส่งข้อความติดตามผลผ่านอีเมลหรือแอปพลิเคชันหลังจากลูกค้าทำการซื้อ
นอกจากนี้ การผสมผสาน AI และการวิเคราะห์ข้อมูลเข้ามายังช่วยให้แบรนด์สามารถคาดการณ์พฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ และนำเสนอเนื้อหาหรือโปรโมชั่นที่ตอบสนองความต้องการในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งช่วยเพิ่มทั้งยอดขายและความพึงพอใจของลูกค้า การตลาดแบบ Omnichannel ยังสนับสนุนการสร้างความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว เพราะลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจและใส่ใจในความต้องการของพวกเขาในทุกช่องทาง
ในปี 2025 การตลาดแบบ Omnichannel ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลือก แต่เป็นความจำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดดิจิทัล แบรนด์ที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และการพัฒนากลยุทธ์ Omnichannel อย่างจริงจัง จะสามารถสร้างความได้เปรียบและความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้าในระยะยาว
ทั้งหมดนี้คือ 10 เทรนด์การตลาดในปี 2025 ที่จะทำให้องค์กรของคุณก้าวข้ามคู่แข่งไปได้ ศึกษาและเริ่มทำตั้งแต่วันนี้! อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนร่วมงานดู
เขียนโดย ธนพนธ์ หัสกรรัตน์