เมื่อ AI ฉลาดกว่าคน มนุษย์ตกหลุมรักหุ่นยนต์ไม่ได้มีแค่ในหนัง Sci-Fi
ในโลกภาพยนตร์ หรือนิยายแนว Sci-Fi เรื่องราวความรักระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ อาจไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนทั่วไป ภาพยนตร์ดังอย่าง Her (2013) และ Ex Machina (2014) ที่ได้เข้าชิงออสการ์ทั้งคู่ หรือแม้แต่หนังไทยที่ได้พระเอกดังอย่าง ‘มาริโอ้ เมาเร่อ’ มาร่วมแสดงใน AI Love You (2022) ล้วนนำเสนอเรื่องราวแนวนี้ และได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดีจากผู้ชม
อย่างไรก็ตาม ในโลกความเป็นจริง หากมีใครออกมาประกาศว่า คุณมีแฟนเป็น AI หรือหุ่นยนต์ เชื่อแน่ว่า คนส่วนใหญ่คงมองว่าคุณไม่บ้าก็เพี้ยน เพราะแค่นึกภาพคนใช้ชีวิตกับหุ่นยนต์ หรือมีอะไรกันจริงๆ มันฟังดูแล้วขนลุกและพิลึกชอบกล
แต่นั่นคือภาพในปัจจุบัน มันไม่สามารถการันตีว่า ความเชื่อแบบนั้นจะไม่เปลี่ยนไปในอนาคต เหมือนครั้งหนึ่งที่ความสัมพันธ์แบบ LGBTQ+ เคยเป็นเรื่องต้องห้ามมาก่อน
เดวิด เลวี (David Levy) ผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence หรือ AI) จากสกอตแลนด์ เจ้าของหนังสือ Love and Sex with Robots ทำนายว่า ภายในปี 2050 การแต่งงานระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ จะกลายเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น
เขาอ้างเหตุผลเรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้ AI มีการประมวลผลที่ฉลาดขึ้น จนอาจถึงขั้นมีความรู้สึกนึกคิดไม่ต่างจากคน ขณะที่สภาพสังคมยุคใหม่ทำให้คนจำนวนมากต้องมีชีวิตอย่างไร้คู่ ดังนั้น หุ่นยนต์ที่สามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ และคอยอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงา จะค่อยๆ ได้รับความนิยมมากขึ้น
หากพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ในเชิงเพศสัมพันธ์ สิ่งนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว โดยในสหรัฐอเมริกา มีบริษัทที่พัฒนาหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ชื่อว่า RealDoll เพื่อเป็น sex toy คล้ายตุ๊กตายาง แต่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนจริง และสามารถออกแบบผิวพรรณหน้าตาได้ตามความต้องการของลูกค้าแต่ละคน
ที่เหนือกว่า RealDoll ต้องยกให้ หุ่นยนต์ของบริษัท RealBotix ซึ่งนำ AI มาใส่ในตุ๊กตายางของ RealDoll และตั้งชื่อว่า ‘ฮาร์โมนี’ (Harmony)
ฮาร์โมนี สามารถคิดและเรียนรู้ความต้องการของเจ้าของ นอกจากนี้ยังสามารถพูดคุยสนทนา จดจำเรื่องราว รวมถึงสบตา และแสดงสีหน้าได้ไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป
แมตต์ แม็คมัลเลน (Matt McMullen) ผู้พัฒนาฮาร์โมนี บอกว่า เขาต้องการให้ ‘เซ็กส์บอต’ นี้เป็นตัวแทนคู่รักของมนุษย์สมัยใหม่ และเป็นทางเลือกของความรักความสัมพันธ์ของคนในปัจจุบัน ที่อะไรๆ ก็ดูมีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น
หากตัดเรื่องความต้องการทางเพศออกไป และไปเน้นกันที่ความรักแนวโรแมนติก หลายคนอาจสงสัยว่า มนุษย์สามารถตกหลุมรัก AI และ AI สามารถให้ความรักตอบกลับมาได้หรือไม่?
คำถามแรกเกี่ยวกับความรักที่มนุษย์มีให้ AI นั้น อาจตอบได้ไม่ยาก เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า มนุษย์มีความเห็นอกเห็นใจหุ่นยนต์ หากเราคิดว่ามันกำลังรู้สึกเจ็บปวดหรือเป็นทุกข์
นอกจากนี้ การพูดคุยกับใครสักคนผ่านอีเมล เมสเซนเจอร์ หรือโทรศัพท์ ยังมักทำให้คนเรารู้สึกตกหลุมรักกันได้ง่ายกว่าพูดคุยแบบเห็นหน้า เพราะความกดดันที่หายไปจากบทสนทนาผ่านเทคโนโลยี สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นกับหุ่นยนต์เช่นกัน ใครที่มองว่าความรักเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไป การมีแฟนเป็นหุ่นยนต์อาจทำให้ชีวิตเรียบง่ายขึ้น
คำถามต่อมาคือ เมื่อเรารักใครสักคนย่อมต้องการได้ความรักตอบกลับมา แล้วหุ่นยนต์สามารถมีความรักตอบมาให้มนุษย์ได้หรือไม่?
คำตอบตอนนี้คือ “ไม่” เพราะ AI ยังคงเรียนรู้ และประมวลผลจากคำสั่งที่ป้อนเข้าไป แต่ไม่สามารถมีความรู้สึกนึกคิดได้เองเหมือนมนุษย์
แม้ปัจจุบัน AI รุ่นใหม่อย่าง Generative AI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเบื้องหลังความสำเร็จของ ChatGPT จะสามารถตอบคำถามและสร้างข้อมูลใหม่ขึ้นมาได้เองอย่างอัจฉริยะ แต่หากพูดถึงการมี ‘ความรัก’ ในเชิงอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนและลึกซึ้ง เทคโนโลยียังไม่สามารถไปถึงจุดนั้น
อย่างไรก็ตาม เดวิด เลวี ทำนายว่า ภายในปี 2025 เป็นอย่างช้า เทคโนโลยี AI จะทำให้หุ่นยนต์มีอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าชายชาวอเมริกันทั่วไป “ความคิดที่ว่า หุ่นยนต์อาจชอบคุณ แรกๆ อาจฟังดูพิลึก แต่ถ้ามันทำได้ คุณก็ไม่จำเป็นต้องเคลือบแคลงสงสัยอีกต่อไป”
เขายังคงเชื่อมั่นว่า ความรักระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ที่ได้รับการยอมรับจากสังคม มีความเป็นไปได้ในอนาคตอันใกล้
ยิ่งการแข่งขันพัฒนา AI กำลังกลายเป็นกระแส หลังจากสตาร์ตอัป OpenAI เปิดตัว ChatGPT จนสั่นสะเทือนวงการบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก ต่อไปนี้การพัฒนาความสามารถของ AI น่าจะยิ่งไปได้อย่างรวดเร็วว่องไวมากขึ้น
ดังนั้น โอกาสที่จะได้เห็นหุ่นยนต์ก็มีหัวใจ และมีความรักไม่ต่างจากมนุษย์เหมือนในหนัง Sci-Fi ยิ่งมีความเป็นไปได้มากขึ้น และอาจเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้
เขียนโดย Phanuwat Auaudomchaisakun
Sources: http://bit.ly/3YjN2iy