LOADING

Type to search

‘ชีวิตเหมือนมือถือแบตเสื่อมตลอดเวลา’ เคล็ด(ไม่)ลับ 5 ข้อที่อาจช่วยให้คุณเติมพลังให้กลับมาสดชื่นกว่าเดิม

‘ชีวิตเหมือนมือถือแบตเสื่อมตลอดเวลา’ เคล็ด(ไม่)ลับ 5 ข้อที่อาจช่วยให้คุณเติมพลังให้กลับมาสดชื่นกว่าเดิม
Share

หากพูดถึงการทำงาน แต่ละคนจะมีคำที่เด้งขึ้นในใจที่แตกต่างกันไป เช่น ทำงานก็ต้องได้เงินเดือน ทำงานก็ต้องประสบความสำเร็จ หรือทำงานก็ต้องก้าวหน้าในหน้าที่ และแน่นอนว่า เส้นทางที่เราเดินทางไปยังปลายฝั่งฝันไม่ได้มีเพียงความสำเร็จที่เป็นจุดสิ้นสุด แต่ยังมี ‘ความเหนื่อย’ ปะปนอยู่ด้วย

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าระหว่างที่เรากำลังทำกิจกรรมต่าง ๆ ความเหนื่อยล้านั้นสามารถคืบคลานมาหาได้ตลอดทั้งวัน  และจะยิ่งมาได้รวดเร็วกว่าเดิมหากเรามีอายุมากขึ้น!

แน่นอนว่าคนเรามีวิธีร้อยแปดในการบริหารความเหนื่อยล้า ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารอย่างเหมาะสม ออกกำลังกายให้เพียงพอ หรือการหาที่พึ่งพิงทางใจเพื่อเป็นการชาร์จแบตให้กับตัวเอง

แต่ถ้าหากความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลกระทบและรบกวนกิจวัตรประวำวันของเราจนเกินไป ก็คงจำเป็นที่จะต้องไปพบกับแพทย์เพื่อแก้ไขปัญหา เพราะอาจเป็นความผิดปกติร้ายแรงได้ หรือจะลองพิจารณาเคล็ดลับที่ Future Trends นำมาฝากในวันนี้ก่อนก็ได้นะ

[ เคล็ด(ไม่)ลับ 5 ข้อ ที่จะช่วยเติมพลังให้ชีวิต ]

1. ออกไปรับแสงแดดในยามเช้า

การเข้าและตื่นนอนให้ตรงเวลาเดิมในทุกๆ วันมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก เมื่อตื่นนอนแล้ว ให้เปิดผ้าม่านเพื่อรับแสงแดดจากธรรมชาติให้เร็วที่สุด หรือจะเป็นการออกไปเดินเล่นก็ได้ เพราะแสงในช่วงเวลานี้จะช่วยทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าและเพิ่งพลังให้กับร่างกายตลอดวัน ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนอนหลับได้อีกด้วย

2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

ร่างกายของเราประกอบไปด้วยน้ำถึง 70 เปอร์เซ็นต์ หากเราดื่มน้ำไม่เพียงพอกับความต้องการ ร่างกายจะเริ่มดึงน้ำจากอวัยวะอื่นมาทดดแทน เช่น จากเลือด ซึ่งจะทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน จนส่งผลให้เราเกิดอาการเหนื่อยง่ายตามมา 

และเพื่อป้องกันภาวะการขาดน้ำ ผู้หญิงจึงควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 9 แก้ว และผู้ชาย 13 แก้วต่อวัน (รวมไปถึงอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนผสม)

3. กินอาหารที่มีประโยนชน์

ช่วงวัยส่งผลต่อปริมาณความอยากอาหาร ยิ่งอายุมากเท่าไหร่ ความอยากอาหารก็ยิ่งลดลง ดังนั้นเราจึงควรรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับวัยและได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่า หากวัยสูงอายุได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ เดินช้าลง เกิดความรู้สึกเหนื่อยล้า

4. ตรวจสอบยาที่ใช้เป็นประจำ

หากเป็นคนที่กินยาหลากหลายชนิดอยู่เสมอ และมีอาการเหน็ดเหนื่อย ง่วงนอนอยู่เป็นประจำ ลองตรวจสอบยาของเราดูก่อน เพราะในยาบางชนิดก็มีฤทธิ์ทำให้ง่วงซึมและรู้สึกเหนื่อยล้าได้ เช่น ยารักษาภูมิแพ้ หรือยาแก้หวัด ยาสำหรับโรคความดันโลหิตสูง

5. ลุกขึ้นอีกนิด ขยับออกอีกหน่อย

การออกกำลังกายมีส่วนช่วยให้ร่างกายสดชื่น ช่วยเสริมการทำงานของระบบหายใจและระบบหมุนเวียนเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างการแอโรบิค การเดินย่ำเท้าไปมา การวิดพื้น การออกกำลังกายเบื้องต้นเพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าได้

[ แต่ถ้ามีอาการตลอดทั้งวัน ความเหนื่อยล้านั้นอาจเกิดจากปัญหาทางสุขภาพ ]

  • โรคโลหิตจาง
  • การขาดวิตามิน b12
  • ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์
  • ความเครียด

[ วิธีบริหารกายด้วยตัวเองอย่างง่ายๆ ]

ลองใช้การหายใจด้วยท้องในการช่วยลดความเหนื่อยล้า ขั้นแรกนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายหรือนอนลงบนพื้นราบและผสานมือไว้บนหน้าท้องบริเวณใต้สะดือ จากนั้นหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ ซึ่งขณะที่หายใจเข้า หน้าท้องของเราควรจะมีอากาศอยู่ในนั้นหรือท้องป่องออกนั่นเอง ทำซ้ำ 5 ถึง 10 ครั้ง

แต่ถ้าหากเคล็ดลับและวิธีบริหารกายข้างต้นไม่สามารถช่วยให้ความรู้สึกเหนื่อยล้าลดลงได้ เรายังคงเครียด และเกิดความวิตกกังวล ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดคือเข้ารับการรักษาจากแพทย์ให้เร็วที่สุด .

เขียนโดย ชนัญชิดา พลอยพลาย

Source: https://www.washingtonpost.com/wellness/2023/07/03/five-ways-to-fight-tiredness/ 

Tags::

You Might also Like