LOADING

Type to search

ทำไม iPod จึงเป็น ‘One Major Thing’ ของ Apple ตลอดกาล

ทำไม iPod จึงเป็น ‘One Major Thing’ ของ Apple ตลอดกาล
Share

“This is an excellent rectangle.”

คำนิยามถึงเครื่องเล่นเพลงอัจฉริยะจาก Business Insider ที่มีการเปิดตัวไอพอดครั้งแรกเมื่อปี 2001 หลังจากนั้น เครื่องเล่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่จุเพลงหลายพันเพลงก็ส่งให้แอปเปิล (Apple) กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ด้วยยอดขายมากกว่า 400 ล้านเครื่อง ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมเพลงในสหรัฐอเมริกาเติบโตอย่างรวดเร็ว และเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ ‘Nostalgia’ ของคนมิลเลนเนียลไปโดยปริยาย

แม้ว่าปี 2017 จะถึงจุดสิ้นสุดของนวัตกรรมฮาร์ดไดร์ฟขนาดจิ๋วไปแล้ว แต่ปัจจุบันคนเจนวายที่เติบโตมาพร้อมกับไอพอดก็ยังคงโหยหา และคิดถึงการฟังเพลงผ่านอุปกรณ์เล็กกระทัดรัดอยู่ดี

ขณะที่โทรศัพท์มือถือที่ครอบคลุมฟังก์ชันการฟังเพลงได้แบบไม่จำกัด แต่ ‘iPod’ กลับได้ชื่อว่าเป็น ‘One Major Thing’ ของแอปเปิลที่พลิกโฉมอุตสาหกรรมดนตรีได้สั่นสะเทือนมากที่สุด แถมยังพ่วงมาพร้อมกับ ‘Scroll Wheel’ อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้การฟังเพลงของเราเปลี่ยนไปตลอดกาล

จุดเริ่มต้นของ ‘iPod’ เกิดขึ้นพร้อมกับช่วงเวลาที่สื่อดิจิทัลกำลังเฟื่องฟู ตลาดใหม่ๆ ที่เข้ามาซัพพอร์ตอุตสาหกรรมบันเทิงได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งการฟังเพลงจากแผ่นซีดี สเตอริโอขนาดใหญ่ เครื่องเล่นเทปชนิดพกพาอย่าง ‘ซาวนด์อะเบาต์’ รวมถึงการ Rip ไฟล์เพลงลงคอมพิวเตอร์ก็ด้วย

แต่ปัญหาของวิธีการเหล่านี้ก็คือ การพกพาเครื่องเล่นเพลงในช่วงแรกๆ ไม่สะดวกนัก เพราะมีขนาดใหญ่เทอะทะและยังจุเพลงได้น้อยอีกด้วย

ในตอนนั้นเองที่แอปเปิลมองเห็นโอกาสในตลาดขนาดใหญ่ที่มีผู้เล่นเจ้าสนามอยู่แล้ว การจะลงไปสู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีแอปเปิลต้องโยน ‘สิ่งใหม่’ เข้าไป ไม่ใช่แค่การต่อยอด-พัฒนาของเดิมให้อยู่ในเลเวลที่ดีขึ้น

กระทั่งจอน รูบินสไตล์ (Jon Rubinstein) อดีตหัวหน้าฝ่ายฮาร์ดแวร์ของบริษัทได้พบกับฮาร์ดไดร์ฟขนาดจิ๋ว แต่มีความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลและพกพาได้ด้วย แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่แอปเปิลกำลังมองหา จากนั้น มันได้ถูกคิดค้นปรับแต่งจนกลายเป็นเครื่องเล่นเพลง ‘iPod’ เปิดตัวสู่สายตาคนทั่วโลกพร้อมกันครั้งแรกเมื่อปี 2001

แม้ว่าไอพอดจะได้รับกระแสตอบรับและเสียงชื่นชมจากแฟนเดนตายของแอปเปิล และคอดนตรีทั่วโลก แต่อีกด้านหนึ่งก็มีนักวิจารณ์ออกมาแสดงความเห็นว่า ไอพอดเป็นโปรดักต์ราคาสูงที่มีการตั้งกลุ่มเป้าหมายไว้อยู่แล้ว โดยเป็นกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นนั่นคือผู้ใช้งานที่มีคอมพิวเตอร์เป็นของตัวเอง เพราะสิ่งที่น่าสนใจจริงๆ คือการใช้งานที่ถูกออกแบบมาอย่างเฟรนด์ลี่ รวมถึงการตลาดของแอปเปิลที่หากได้ลองใช้ไอพอดไปแล้ว ผู้บริโภคก็อาจพิจารณาที่จะลองใช้โปรดักต์อื่นตามมาอีก

นอกจากนี้ ไอพอดยังเข้ามาปฏิวัติอุตสาหกรรมดนตรี มีส่วนช่วยส่งเสริมสนับสนุนปัญหาลิขสิทธิ์เพลงด้วย โดยช่วงต้นทศวรรษ 2000 การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเติบโตอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับวงการดนตรีที่พุ่งทยานไปข้างหน้า การดาวน์โหลดเพลงฟรีและนำมาปล่อยแบบผิดลิขสิทธิ์ไม่อาจทำให้อุตสาหกรรมเพลงดำรงอยู่ได้ แต่ ‘iTunes’ เข้ามาเชื่อมต่อ เป็นตัวกลางระหว่างผู้บริโภคด้วยการโยนโซลูชันการซื้อเพลง และราคาที่ไม่แพงลงไป

“iPod และ iTunes เป็นเหมือนแสงสว่างในช่วงเวลาอันเยือกเย็นของอุตสาหกรรมนี้” ประธานสมาคมอุตสาหกรรมแผ่นเสียงเคยให้สัมภาษณ์กับ Newsweek นิตยสารสัญชาติอเมริกัน

แต่ผ่านเวลาไปพักใหญ่ในช่วงที่มิวสิค สตรีมมิง เข้ามาแทนที่ อำนวยความสะดวกสบายให้กับคอเพลงมากกว่า ยอดขายไอพอดจึงค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ กระทั่งทิม คุก (Tim Cook) ออกมาบอกว่า ทุกคนรู้ดีว่ายอดขายไอพอดตกต่ำ กและปัจจุบันไลน์สินค้าไอพอดก็หลงเหลือไว้เพียง ‘iPod Touch’ เท่านั้น ส่วนรุ่นคลาสสิกที่มีวงล้อ ‘Scroll Wheel’ ถูกพับเก็บไปเรียบร้อยแล้ว

ปัจจุบัน แอปเปิลหันมาแตกไลน์มิวสิค สตรีมมิ่ง ด้วย ‘Apple Music’ ที่ยังคงทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรมเพลงและคนฟังไว้อย่างใกล้ชิด แม้จะไม่ได้ใช้วิธีปัดวงล้อระหว่างฟังแบบเดิมแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า ไอพอดได้ทำหน้าที่ปฏิวัติวงการดนตรี ทำให้การฟังเพลงกลายเป็นเรื่องเซ็กซี่อย่างมีชั้นเชิง

Sources: https://bit.ly/3vaBulO

https://bit.ly/3LduZ72

https://bit.ly/3y4g7V9

https://cnet.co/3OB4tXE

Tags::

You Might also Like