Type to search

เจาะลึกเทรนด์ผู้บริโภค Grab เผยรายงานประจำปี พบ YOLK และ Kanori โตไวหลายเท่า

December 21, 2025 By Kim

แกร็บ (Grab) ประเทศไทย ได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญจากรายงาน ‘เทรนด์ประจำปี 2025’ ซึ่งสะท้อนภาพรวมพฤติกรรมของผู้คนในสังคมไทยได้อย่างชัดเจนที่สุด ตั้งแต่วิถีการเดินทาง การท่องเที่ยว ไปจนถึงรสนิยมการกินที่เปลี่ยนไปตามกระแส

ข้อมูลเหล่านี้เป็นเข็มทิศนำทางให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีหน้า ในบทความนี้ Future Trends จะพาคุณไปสำรวจปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น และพาไปดูแบรนด์ที่สามารถแปรเปลี่ยนเทรนด์เหล่านี้ให้กลายเป็นยอดขายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดได้

[ เจาะเทรนด์ผู้บริโภค 2026 เมื่อศรัทธาและความคุ้มค่าขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ]

ข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานแอปพลิเคชันแกร็บ เราสามารถสรุปเทรนด์หลักที่กำลังก่อตัวขึ้นและจะมีอิทธิพลอย่างสูงในปี 2026 ได้ดังนี้

1️⃣ ปรากฏการณ์ ‘มูเตลู’ ดันย่านห้วยขวางขึ้นแท่นฮอตสปอตแห่งใหม่

หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตามองที่สุดในด้านการเดินทาง คือการเกิดขึ้นของจุดหมายปลายทางยอดนิยมแห่งใหม่ที่แซงหน้าแหล่งท่องเที่ยวเดิมๆ นั่นคือ ‘เทวาลัยพระพิฆเนศ’ บริเวณสี่แยกห้วยขวาง

จากข้อมูลระบุว่าย่านนี้กลายเป็นจุดหมายที่มาแรงที่สุดแห่งปีด้วยยอดการเรียกรถที่เติบโตขึ้นถึง 678% สาเหตุหลักมาจากกระแสความเชื่อและความศรัทธาของคนไทย รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่นิยมเดินทางไปกราบไหว้เพื่อขอพรเรื่องความสำเร็จและเสริมสิริมงคลให้กับชีวิต ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า การท่องเที่ยวเชิงศรัทธา (Spiritual Tourism) กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับจุลภาคที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

2️⃣ การกลับมาของนักท่องเที่ยวและการผงาดของเมืองรอง

แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอาจดูชะลอตัวในบางมิติ แต่บริการการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันยังคงเป็นทางเลือกหลักของชาวต่างชาติ โดยชาตินักท่องเที่ยวที่ใช้งานสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ อังกฤษ และมาเลเซีย

โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่มียอดใช้บริการพุ่งสูงขึ้นเกือบ 50% ในช่วงโกลเด้นวีค แต่สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดคือการเติบโตของนักท่องเที่ยวจากประเทศ ‘จอร์เจีย’ ที่มียอดใช้บริการเติบโตขึ้นกว่า 10 เท่า กลายเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ที่มาแรงที่สุด และมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีหน้า

ในขณะเดียวกัน เทรนด์การท่องเที่ยวในประเทศได้กระจายตัวออกสู่เมืองรองมากขึ้น โดยได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐและการมองหาประสบการณ์ใหม่ๆ โดยจังหวัด ‘นครนายก’ กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดด้วยยอดเรียกรถเติบโตกว่า 9 เท่า ปัจจัยหนุนสำคัญคือระยะทางที่ใกล้กรุงเทพสามารถเที่ยวแบบเช้าเย็นกลับได้ และมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โดดเด่น เช่น เขื่อนขุนด่านปราการชล น้ำตกนางรอง และอุทยานวังตะไคร้

3️⃣ อีเวนท์และคอนเสิร์ต แม่เหล็กดูดนักเดินทาง

มหกรรมความบันเทิงและเทศกาลวัฒนธรรมยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่กระตุ้นยอดการเดินทางอย่างมหาศาล ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือคอนเสิร์ต BLACKPINK WORLD TOUR IN BANGKOK ซึ่งส่งผลให้ยอดการเรียกรถไปยังราชมังคลากีฬาสถานเติบโตขึ้นเกือบ 5 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงปกติ นอกจากนี้ เทศกาลประเพณีอย่าง ‘ยี่เป็ง’ ในจังหวัดเชียงใหม่ ก็ช่วยดันยอดใช้บริการให้โตขึ้นถึง 44% รองลงมาคือเทศกาลสงกรานต์

ข้อมูลนี้ยืนยันว่า ‘Event-based Tourism’ หรือการท่องเที่ยวเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม ยังคงเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

4️⃣ พฤติกรรม ‘รัดเข็มขัด’ ปะทะ ‘รักษ์โลก’

ในยุคที่ผู้บริโภคต้องเผชิญหน้ากับสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย พฤติกรรมการเลือกใช้บริการจึงเน้นไปที่ความคุ้มค่ามากขึ้น บริการเรียกรถราคาประหยัดอย่าง GrabCar SAVER และ GrabBike SAVER ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายด้วยการเติบโตกว่า 289% สะท้อนถึงการปรับตัวของผู้คนที่มองหาทางเลือกที่ถูกลง

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคก็ไม่ได้ละทิ้งอุดมการณ์เพื่อสิ่งแวดล้อม บริการ Grab EV Rides ที่ช่วยค้นหารถยนต์ไฟฟ้าได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น สะท้อนผ่านยอดเรียกใช้ที่เติบโตถึง 58% นอกจากนี้ ฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ความสะดวกสบายอย่างการจองรถล่วงหน้า (Advance Booking) ก็ยังเติบโตสูงกว่า 50% โดยเฉพาะการเดินทางไปสนามบิน

5️⃣ สงครามเครื่องดื่มและเมนูไวรัล เมื่อ ‘ลิซ่า’ เขย่าบัลลังก์กาแฟ

ข้ามมาที่ฝั่งฟู้ดเดลิเวอรี เมนูอาหารประจำชาติอย่าง ‘ส้มตำ’ โดยเฉพาะส้มตำปูปลาร้า ยังคงครองแชมป์ยอดสั่งสูงสุดกว่า 16 ล้านจานต่อปี แต่ความเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นเต้นที่สุดเกิดขึ้นในสมรภูมิเครื่องดื่ม เมื่อแชมป์เก่าอย่าง ‘อเมริกาโนเย็น’ ต้องตกกระป๋องไปอยู่อันดับ 3 พ่ายแพ้ให้กับ ‘ชาเย็น’ (รวมชาไทยและชานมไข่มุก) ที่มียอดสั่งรวมกว่า 11 ล้านแก้ว

คาดว่าปัจจัยหลักมาจากอิทธิพลของ ลิซ่า ที่สร้างกระแสไวรัลจากการคอลแลปกับ Erawhon จนเกิดเมนู ‘Thai up the World by Lisa’ นอกจากนี้ กระแสมัทฉะฟีเวอร์ก็ส่งผลให้เมนูชาเขียวมียอดขายสูงถึง 9 ล้านแก้ว แซงหน้ากาแฟดำไปเช่นกัน

นอกจากเมนูหลักแล้ว ยังมีเมนูดาวรุ่งที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ได้แก่ ชิโอะปัง (ขนมปังเกลือ) ที่ยอดขายโต 36 เท่า ชาองุ่นเคียวโฮที่โต 17 เท่า และเมนูแฮนด์โรล อาหารญี่ปุ่นสไตล์โอมากาเสะที่เข้าถึงง่ายขึ้น ซึ่งมียอดสั่งเติบโตกว่า 300%

[ ถอดรหัสแบรนด์ธุรกิจ พลิกวิกฤตเป็นโอกาสผ่านเทรนด์ แบบ YOLK และ Kanori Hand Roll Bar ]

เมื่อเข้าใจเทรนด์ที่เกิดขึ้นแล้ว คำถามสำคัญคือ “ธุรกิจจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างไร?” จากรายงานของแกร็บ เราได้เห็นกรณีศึกษาของแบรนด์ต่างๆ ที่สามารถหยิบจับกระแสเหล่านี้มาสร้างกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด จนนำไปสู่ความสำเร็จที่วัดผลได้จริง ดังนี้

1️⃣ Collaboration Marketing พลังแห่งการร่วมมือ กรณีศึกษา YOLK

ในยุคที่การแข่งขันสูง การเดินหน้าเพียงลำพังอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด เทรนด์การทำธุรกิจแบบร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างสีสันและยอดขายได้มากยิ่งขึ้น

กรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จที่สุดในปีนี้คือโปรเจกต์ ‘Proudly, Made in Thailand’ ซึ่งนำโดยแบรนด์ทาร์ตไข่สเปเชียลตี้ชื่อดังอย่าง YOLK แบรนด์ไม่ได้เพียงแค่ออกเมนูใหม่ แต่เลือกที่จะผนึกกำลังกับ 4 แบรนด์ไทยชั้นนำที่มีฐานลูกค้าแข็งแกร่ง ได้แก่ โอ้กะจู๋ โรงคั่วกาแฟทรงวาด แก้วบูทีค และเจี้ยนชา

การร่วมมือกันรังสรรค์เมนู 4 รสชาติพิเศษนี้ ไม่เพียงแต่สร้างความแปลกใหม่ให้กับตลาด แต่ยังเป็นการแลกเปลี่ยนฐานลูกค้าระหว่างกัน ผลลัพธ์ที่ได้คือยอดขายต่อวันที่เติบโตขึ้นถึง 48%

ส่งผลให้การจับคู่กับพันธมิตรที่เหมาะสมสามารถสร้างข่าวสารและขยายฐานลูกค้าได้มากกว่าขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเล่นกับกระแสความภูมิใจในแบรนด์ท้องถิ่น (Local Pride)

2️⃣ Niche to Mass แปลงเมนูหรูให้เข้าถึงง่าย กรณีศึกษา Kanori Hand Roll Bar

จากข้อมูลเทรนด์เมนูแฮนด์โรลที่เติบโตถึง 300% แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคกำลังมองหาประสบการณ์การกินรูปแบบใหม่ที่เคยจำกัดอยู่แค่ในร้านโอมากาเสะราคาแพง แบรนด์ที่มองเห็นโอกาสนี้ก่อนใครคือ Kanori Hand Roll Bar

Kanori วางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้บุกเบิกร้านแฮนด์โรลสไตล์ญี่ปุ่นเจ้าแรกในไทย โดยนำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารญี่ปุ่นรูปแบบใหม่ที่เน้นคุณภาพแต่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมการนัดสังสรรค์กันเป็นกลุ่มในโอกาสพิเศษ ผลจากการเกาะกระแสเทรนด์อาหารดาวรุ่งนี้ ทำให้ยอดขายของร้าน Kanori เติบโตขึ้นกว่า 5 เท่าในช่วงระยะเวลาเพียง 3 เดือน

ดังนั้น การจับตาดูลำดับการเติบโตของเมนูอาหารในแอปพลิเคชันเดลิเวอรี สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการค้นพบช่องว่างในตลาดใหม่ๆ เพื่อนำเสนอสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการที่กำลังก่อตัวขึ้น ก่อนที่ตลาดจะวาย

[ บทสรุป ]

ภาพรวมของปี 2025 จากข้อมูลของ Grab ชี้ให้เห็นว่า แม้โลกจะหมุนไปด้วยเทคโนโลยี แต่หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจยังคงเป็น “ความเข้าใจในมนุษย์” ไม่ว่าจะเป็นความศรัทธาที่ดึงดูดคนไปย่านห้วยขวาง ความอินเทรนด์ที่ทำให้ชาไทยชนะกาแฟ หรือความต้องการความคุ้มค่าที่ดันให้บริการ Saver และโครงการคนละครึ่งพลัสเติบโต

สำหรับผู้ประกอบการ บทเรียนจากแบรนด์อย่าง YOLK และ Kanori ยืนยันว่าการทำธุรกิจในยุคนี้ไม่สามารถยึดติดกับวิธีการเดิมๆ ได้อีกต่อไป กุญแจสู่ความสำเร็จคือต้อง ‘ตาไว’ มองเห็นเทรนด์ที่กำลังมา และต้อง ‘มือไว’ ในการปรับกลยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นการหาพาร์ทเนอร์มาคอลแลป หรือการปรับรูปแบบเมนูหรูให้เข้าถึงง่าย 

เพราะในสมรภูมิธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ผู้ที่ปรับตัวได้ตรงจุดที่สุด คือผู้ที่จะอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในปีต่อๆ ไป

เขียนโดย ธนพนธ์ หัสกรรัตน์

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวประชาสัมพันธ์ “แกร็บ เผยเทรนด์ “เรียกรถ-ฟู้ดเดลิเวอรี” ประจำปี 2025”