“จากมือใหม่สู่มือโปร” 10 แอปพลิเคชันที่มาพร้อม AI ที่ช่วยให้การเรียนภาษาเป็นเรื่องง่าย ทั้งฟัง พูด อ่าน และเขียน

ปัจจุบัน การเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ นั้น ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหนังสือเล่มหนาหรือคอร์สเรียนราคาแพงอีกต่อไป เพราะ ‘แอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI’ ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนให้สนุก ง่าย และตอบโจทย์แต่ละบุคคลมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ไม่ว่าจะฝึกพูดกับ AI ที่ทำหน้าที่เหมือนคู่สนทนาจริงๆ รับคำแนะนำที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความสามารถ จะเป็นมือใหม่ หรือเป็นคนที่อยากพัฒนาทักษะเฉพาะด้าน เช่น การออกเสียง การสนทนา หรือการเขียน ก็สามารถทำได้
วันนี้ Future Trends ขอแนะนำแอปพลิเคชันเรียนภาษาที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่จะช่วยให้เราก้าวข้ามอุปสรรคในการเรียนภาษา และทำให้การเรียนรู้เป็นเรื่องง่ายและสนุกกว่าเดิม
1. Shiken
Shiken เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลายและสมจริง ผ่านเทคโนโลยี AI โดยเหมาะสำหรับผู้เรียนที่ต้องการเครื่องมือแบบครบวงจร ทั้งการฝึกทักษะการสนทนา การทำแบบทดสอบ และการพัฒนาความเข้าใจภาษาต่างๆ ในเชิงลึก
ฟีเจอร์เด่น
– AI Roleplay
ระบบบทบาทสมมติที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถฝึกพูดในสถานการณ์จำลอง เช่น การสัมภาษณ์งาน การเดินทาง หรือแม้แต่การนำเสนองาน
– Real-Time Voice Translation
แปลภาษาและสนทนาแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
– Personalized Learning Reports
ระบบจะสร้างรายงานที่วิเคราะห์พัฒนาการของผู้เรียน พร้อมแนะนำสิ่งที่ควรปรับปรุง
จุดเด่นเพิ่มเติม
แอปนี้ยังมีฟีเจอร์การเรียนรู้แบบ gamification ที่ช่วยเพิ่มแรงจูงใจ ทำให้การเรียนภาษาไม่น่าเบื่อ และยังสามารถใช้งานร่วมกับกลุ่มเพื่อนได้
2. Praktika
Praktika โดดเด่นด้วยการใช้ AI Generative Avatar ในการสร้างบทเรียนแบบอินเตอร์แอคทีฟ โดยผู้เรียนจะได้โต้ตอบกับอวาตาร์ที่ปรับแต่งได้ตามสถานการณ์ เช่น การพูดคุยเรื่องงาน การเดินทาง หรือการชอปปิง
ฟีเจอร์เด่น
– Dynamic AI Roleplay
จำลองสถานการณ์ที่ปรับได้ เช่น การสอบถามข้อมูลโรงแรม หรือการสั่งอาหารในร้าน
– Instant Feedback
ระบบ AI จะแนะนำคำตอบที่ถูกต้องในทันที เพื่อช่วยให้ผู้เรียนปรับปรุงการพูดและความเข้าใจ
– Progressive Hints
ระบบจะให้คำใบ้เมื่อคุณติดขัด ทำให้การเรียนไม่เครียดและสนุกมากขึ้น
จุดเด่นเพิ่มเติม
Praktika ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในเชิงธุรกิจ หรือผู้ที่ต้องการเตรียมตัวก่อนการประชุมกับชาวต่างชาติ
3. Speak
Speak เป็นแอปที่เน้นการช่วยพัฒนาทักษะการพูดและการออกเสียงให้ชัดเจนเหมือนเจ้าของภาษา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจในการสื่อสาร
ฟีเจอร์เด่น
– AI-Powered Feedback
ระบบจะวิเคราะห์การออกเสียงของคุณและให้คำแนะนำอย่างละเอียด
– Daily Speaking Challenges
มีการท้าทายให้ผู้เรียนพูดในหัวข้อที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความคล่องตัว
– Fluency Tracker
ระบบจะติดตามความก้าวหน้าในการพูด และแจ้งผลเป็นคะแนนเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนพัฒนาต่อ
จุดเด่นเพิ่มเติม
Speak ยังมีบทสนทนาเฉพาะด้าน เช่น ภาษาในวงการธุรกิจ เทคโนโลยี หรือแม้แต่การเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์
4. Duolingo
Duolingo เป็นแอปพลิเคชันเรียนภาษาที่เน้นการเรียนรู้แบบเกมิฟาย ทำให้ผู้เรียนรู้สึกสนุกเหมือนเล่นเกม พร้อมทั้งมีระบบรางวัลและแรงจูงใจในการพัฒนาทักษะ
ฟีเจอร์เด่น
– Bite-Sized Lessons
บทเรียนสั้นๆ ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ทำให้เหมาะกับผู้ที่มีเวลาจำกัด
– Gamification Features
มีระบบการสะสมแต้ม ปลดล็อกด่านใหม่ และแข่งขันกับเพื่อนๆ
– AI-Driven Conversations
ผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับ AI ในสถานการณ์จำลอง เช่น การสั่งกาแฟ หรือการจองโรงแรม
จุดเด่นเพิ่มเติม
Duolingo ยังเหมาะสำหรับผู้เรียนที่ต้องการลองหลายๆ ภาษา เพราะรองรับมากกว่า 30 ภาษา เช่น ฝรั่งเศส สเปน ญี่ปุ่น และอื่นๆ
5. Babbel
Babbel ออกแบบมาสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนภาษาเพื่อใช้ในสถานการณ์จริง เช่น การเดินทาง หรือการทำงาน โดยเน้นเนื้อหาที่ใช้งานได้จริง
ฟีเจอร์เด่น
– Real-World Conversations
บทเรียนที่เน้นคำศัพท์และสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน เช่น การซื้อของ หรือการพูดในงานสัมมนา
– AI Recommendations
ระบบ AI จะแนะนำบทเรียนที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียน
– Cultural Insights: เพิ่มความเข้าใจในวัฒนธรรมของภาษาที่เรียน
จุดเด่นเพิ่มเติม
Babbel ยังมีระบบการเรียนรู้ที่อิงกับหลักไวยากรณ์ ทำให้เหมาะสำหรับผู้เรียนที่ต้องการพัฒนาทักษะด้านการเขียนควบคู่ไปกับการพูด
6. TalkPal
TalkPal เป็นแอปที่เน้นการฝึกฝนการสนทนาในชีวิตจริง โดยใช้ AI ที่มีเสียงพูดเหมือนคนจริง
ฟีเจอร์เด่น
– Realistic Voice Simulations
ใช้เสียง AI ที่สมจริงช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกเหมือนกำลังพูดคุยกับคนจริง
– Situation-Based Lessons
เรียนรู้จากสถานการณ์จำลอง เช่น การขอข้อมูลในสนามบิน
– Interactive Dialogues
มีการโต้ตอบแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้เรียนสามารถฝึกพูดและฟังในเวลาเดียวกัน
จุดเด่นเพิ่มเติม
แอปนี้ยังช่วยพัฒนาทักษะการฟังด้วยการปรับสำเนียงและโทนเสียงของ AI
7. ChatGPT
ChatGPT เป็นเครื่องมือที่ยืดหยุ่นสำหรับผู้ที่ต้องการฝึกการสนทนาในสถานการณ์ต่างๆ โดยไม่มีโครงสร้างที่ซับซ้อน
ฟีเจอร์เด่น
– Customizable Prompts
ผู้เรียนสามารถตั้งคำถามหรือสร้างบทสนทนาที่เหมาะสมกับตัวเอง
– Multilingual Support
รองรับหลายภาษา ทำให้เหมาะสำหรับผู้เรียนที่ต้องการทดลองใช้ภาษาต่างๆ
จุดเด่นเพิ่มเติม
ChatGPT เหมาะสำหรับการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ หรือการสร้างคำศัพท์เฉพาะด้าน เช่น ภาษาในอุตสาหกรรมต่างๆ
8. Univerbal
Univerbal เป็นแอปที่ออกแบบมาสำหรับผู้เรียนที่ต้องการโฟกัสการพูด และการสนทนาในบริบทที่น่าสนใจ
ฟีเจอร์เด่น
– Customizable Topics
เลือกหัวข้อที่คุณสนใจ เช่น กีฬา เทคโนโลยี หรือศิลปะ
– Real-Time Feedback
ระบบช่วยปรับปรุงการพูดทันที
จุดเด่นเพิ่มเติม
Univerbal มีราคาที่เหมาะสม และเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้เรียนที่ต้องการประหยัดงบประมาณ
9. Tutor Lily
Tutor Lily ช่วยผู้เรียนพัฒนาการพูดด้วยระบบ AI ที่ให้คำแนะนำอย่างละเอียด
ฟีเจอร์เด่น
– Pronunciation Coach
ให้คำแนะนำทันทีเมื่อออกเสียงผิด
– Daily Challenges
การฝึกพูดในหัวข้อที่ท้าทาย
จุดเด่นเพิ่มเติม
Tutor Lily เหมาะสำหรับผู้เรียนที่ต้องการฝึกการพูดแบบเข้มข้น
10. Memrise
Memrise เน้นการช่วยให้ผู้เรียนจำคำศัพท์ด้วยเทคนิคการจำแบบเว้นระยะ
ฟีเจอร์เด่น
– Spaced Repetition
ระบบช่วยจำที่มีประสิทธิภาพ
– Native Speaker Audio
เสียงบันทึกจากเจ้าของภาษา ช่วยเพิ่มความมั่นใจ
จุดเด่นเพิ่มเติม
แอปนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมคลังคำศัพท์ก่อนที่จะลงลึกด้านการสนทนา
เขียนโดย ชนัญชิดา พลอยพลาย
#FutureTrends #FutureTrendsetter #FutureTrendsWorkAndLife
.
.
Source:
.
10 AI Language Learning Apps That Will Make You Fluent Faster
https://www.geeky-gadgets.com/best-ai-language-learning-apps