ทั่วโลกพากันตื่นตระหนกเหตุการณ์ล้มละลายของธนาคารในสหรัฐฯ ซึ่งลุกลามไปถึงยุโรปอย่างรวดเร็วภายในเวลาแค่สัปดาห์เดียว
หลายคนเกรงว่า นี่อาจเป็นสัญญาณวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ แม้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยืนยันว่า เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องของอารมณ์และความแตกตื่นของนักลงทุน มากกว่าปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการเงินโลก
Future Trends จะพาไปย้อนดูเหตุการณ์ด้วยการเรียงลำดับช่วงเวลาของเรื่องราวและความวุ่นวาย เพื่อให้เข้าใจที่มาที่ไปและเห็นภาพความวุ่นวายทางการเงินการลงทุนครั้งนี้ได้ง่ายขึ้น
สัญญาณความวุ่นวายเริ่มต้นขึ้นเมื่อธนาคารซิลิคอน แวลลีย์ (SVB) ในสหรัฐฯ ประกาศผลประกอบการขาดทุน 1,800 ล้านดอลลาร์ จากการขายหลักทรัพย์ ซึ่งรวมถึงพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้ที่มีอสังหาริมทรัพย์ค้ำประกัน (mortgage bonds) เพื่อนำเงินสดมาคืนลูกค้าบัญชีเงินฝาก
สาเหตุการขาดทุนหลักๆ มาจากการลงทุนที่ผิดพลาดในพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งให้ผลตอบแทนต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน ท่ามกลางการประกาศขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลาง (เฟด) เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
ไม่กี่ชั่วโมงหลัง SVB แถลงยอมรับสภาพขาดทุน บริษัทจัดอันดับ ‘มูดดี้ส์’ (Moody’s) ประกาศลดระดับความน่าเชื่อถือของ SVB ทันที
เช้าวันต่อมา ราคาหุ้น SVB ร่วงหนักหลังเปิดตลาด ขณะหุ้น ‘บิ๊กโฟร์’ ของแบงก์อเมริกา ทั้งเจพีมอร์แกน เชส, แบงก์ออฟอเมริกา, เวลส์ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป ร่วงตามเพราะความตื่นตระหนก
ข่าวความวิตกที่แพร่ไปอย่างรวดเร็วทำให้บริษัทร่วมลงทุน (VC) รวมถึงสตาร์ตอัปในเครือ เริ่มแห่ไปถอนเงินจาก SVB โดยมีรายงานว่า ในช่วงปิดทำการมียอดพยายามถอนเงินสูงถึง 42,000 ล้านดอลลาร์
SVB ไม่มีเงินสดพอจ่ายคืนลูกค้า ทำให้สถาบันประกันเงินฝากของรัฐบาลสหรัฐฯ (FDIC) ประกาศเข้ามาควบคุมกิจการก่อนเปิดทำการ และ SVB กลายเป็นธนาคารใหญ่อันดับสองในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่ล้มละลาย หลังจาก ‘วอชิงตัน มูชวล’ (Washington Mutual) ล้มไปก่อนหน้าในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ‘แฮมเบอร์เกอร์’ ปี 2008
ตลาดหุ้นไทยเริ่มซึมซับข่าวร้าย ปิดตลาดลดลง 14.57 จุด (- 0.9%)
FDIC ตัดสินใจตัดไฟแต่ต้นลม ป้องกันคนแห่ถอนเงินลุกลามไปแบงก์อื่น ด้วยการประกาศมาตรการฉุกเฉินรับประกันเงินฝากทั้งหมดของลูกค้า SVB แม้เกินวงเงินที่รัฐค้ำประกัน 250,000 ดอลลาร์ต่อบัญชี
นอกจากนี้ FDIC ยังเข้าควบคุมกิจการธนาคารซิกเนเจอร์ (Signature Bank) ในนิวยอร์ก ทำให้ซิกเนเจอร์ กลายเป็นแบงก์ใหญ่อันดับสามในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่ล้มละลาย หลังเพิ่งประกาศรับเงินฝากเป็นคริปโตเคอร์เรนซีได้ไม่นาน
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ แถลงยืนยัน ระบบธนาคารอเมริกันยังมั่นคง แต่ราคาหุ้นหลายแบงก์หลังเปิดทำการวันแรกของสัปดาห์ยังร่วงหนัก โดยธนาคารเฟิร์ส รีพับลิก (First Republic Bank) ร่วง 65% และชาร์ลส ชวาบ (Charles Schwab) แบงก์ใหญ่อันดับ 8 ของสหรัฐฯ ลดลง 11%
ตลาดหุ้นไทยร่วมวง ‘แพนิก’ ปิดลดลง 26.58 จุด (- 1.66%)
ตลาดหุ้นไทยปิดร่วงต่อ 49.18 จุด (- 3.13%) โดยหุ้นแบงก์ใหญ่ทั้ง Kbank (-1.17%) และ SCB (-2.26%) ถูกเทขายหนัก แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเปิดทีหลัง ราคาหุ้นแบงก์ขนาดกลางกลับมาฟื้นตัว ท่ามกลางความหวังว่า วิกฤตรอบนี้อยู่ในการควบคุมแล้ว
สถานการณ์ในอเมริกาคลี่คลาย แต่ปัญหาลุกลามไปยุโรป เมื่อเครดิต สวิส (Credit Suisse) ธนาคารอันดับต้นๆ ของโลก ราคาหุ้นหล่นทำสถิติต่ำสุด (- 24%) เพราะความวิตกสืบเนื่องจาก SVB หลังแบงก์สวิสเจ้านี้ มีปัญหาความโปร่งใส และขาดทุนมาตลอดหลายปี
ราคาหุ้นธนาคารยุโรปอื่นๆ อย่างโซซิเอเต้ เจเนเรล (Société Générale), บีเอ็นพี พารีบาส์ (BNP Paribas) และดอยช์ แบงก์ (Deutsche Bank) ร่วงตาม
ส่วนหุ้นธนาคารภูมิภาคในอเมริกา กลับมาหล่นอีกครั้ง โดยบริษัทจัดเรตติ้งเอสแอนด์พี ลดความน่าเชื่อถือธนาคารเฟิร์ส รีพับลิก เหลือสถานะ ‘ขยะ’ เพราะความเสี่ยงคนแห่ถอนเงิน และความสามารถทำกำไรยังไม่น่าไว้ใจ
หุ้นเครดิต สวิส เปิดตลาดพุ่งขึ้น 40% สูงสุดเป็นสถิติใหม่ หลังประกาศจะกู้เงินจากแบงก์ชาติสวิตเซอร์แลนด์ 50,000 ล้านฟรังก์ เพื่อเสริมสภาพคล่อง ช่วยลดความหวาดวิตกของลูกค้าและนักลงทุน
นั่นคือไทม์ไลน์ของความวุ่นวายล่าสุดในโลกการเงินการลงทุน นับตั้งแต่ SVB ล้มละลายได้แค่ประมาณ 1 สัปดาห์ ส่วนธนาคารไทยแม้ส่วนใหญ่สถานะยังมั่นคง และไม่มีส่วนเชื่อมโยงโดยตรงกับวงจรปัญหานี้ แต่นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่า สถานการณ์ยังไม่อาจไว้วางใจ และต้องจับตาดูกันต่อไปอย่างใกล้ชิด
เขียนโดย Phanuwat Auaudomchaisakun
Source: http://bit.ly/3yJ5MNq