อีก 15 ปี เวียดนามจะแซงไทยแน่นอน สรุป สิ่งที่ทำให้เวียดนามกลายเป็น ‘ผู้นำ’ ด้าน Tech ในอาเซียน
เวียดนามแซงหน้าไทยอีกแล้ว!
หากใครติดตามข่าวสารในวงการเทคโนโลยี หรือเกาะติดกระแสเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) อยู่แล้ว คงเห็นข่าวที่ ‘วินฟาสต์’ (VinFast) รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติเวียดนามประกาศความพร้อมในการบุกตลาดที่สหรัฐอเมริกาอย่างเต็มตัว และไม่ใช่การไปแบบตัวเปล่าเล่าเปลือย เอาสินค้าไปเร่ขายเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการจัดตั้งโรงงานผลิต และเปิดตัวโชว์รูมแห่งแรกในรัฐแคลิฟอร์เนียไปเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
การเติบโตของวินฟาสต์ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สะท้อนให้เห็นว่า นับวัน ‘เวียดนาม’ ยิ่งมีการเติบโตด้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีแซงหน้าทุกประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะ ‘ไทย’ ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาด้านการส่งออกและการลงทุนของชาวต่างชาติมาอย่างยาวนาน
จากประเทศยากจนที่มีความบอบช้ำทางเศรษฐกิจ สู่การเป็นผู้ส่งออกผลผลิตทางการเกษตรอันดับต้นๆ ของโลก และในปัจจุบันก็พัฒนาประเทศจนกลายเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในอาเซียนไปแล้ว ไม่ว่าบริษัทใดที่คิดจะตั้งโรงงานใหม่หรือขยายฐานการผลิต ต้องมีเวียดนามเป็นตัวเต็งในการลงทุนอย่างแน่นอน ทำให้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เวียดนามคงแซงหน้าไทยแบบไม่เห็นฝุ่น
เวียดนามทำให้ประเทศของตัวเองมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? เราจะพาทุกคนไปสำรวจกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีที่เวียดนามใช้ในการพัฒนาประเทศสู่สายตาชาวโลกไปพร้อมๆ กัน
จุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่ทำให้ ‘เวียดนาม’ เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในอาเซียน
จุดเริ่มต้นของการที่เวียดนามเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในอาเซียน ต้องย้อนกลับไปราว 5 ปีก่อนที่เป็นยุคของการเปลี่ยนผ่านจาก ‘อุตสาหกรรม 2.0’ (Industry 2.0) การผลิตที่เน้นใช้คนและเครื่องจักรในกระบวนการผลิต หรืออุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี สู่ ‘อุตสาหกรรม 4.0’ (Industry 4.0) การผลิตที่เน้นใช้เทคโนโลยีเข้ามาปิดช่องโหว่ของอุตสาหกรรม 2.0 โดยเฉพาะเรื่องของเวลาและการใช้แรงงานอย่างสิ้นเปลือง
เมื่อยุคของอุตสาหกรรม 4.0 มาถึง หลายๆ ประเทศก็ต้องเริ่มปรับตัว เพื่อไม่ให้ตกขบวน และรั้งท้ายในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งเวียดนามเป็นประเทศที่มีความกระตือรือล้นในการปรับตัวครั้งนี้เป็นอย่างมาก จะเห็นได้จากนโยบายของภาครัฐที่ส่งเสริมเรื่องการพัฒนานวัตกรรมในประเทศ และปรับปรุงกฎหมายด้านการลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงนามข้อตกลงการค้าเสรีกับ (EU) ที่เป็นหมัดเด็ดในการเอาชนะใจนักลงทุนต่างชาติ
จนกระทั่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เวียดนามเริ่มเป็นที่พูดถึงเกี่ยวกับการเป็นแนวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของอาเซียน โดนกูรูด้านการลงทุนหลายๆ คนต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า “เวียดนามมาแน่!” และกลายเป็น ‘ตลาดเกิดใหม่’ (Emerging Market) ที่น่าจับตามอง ทำให้บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ต่างพากันมาตั้งฐานการผลิตที่เวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นพานาโซนิก (Panasonic) ซัมซุง (Samsung) ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) รวมถึงบิ๊กเทค (Big Tech) จากซิลิคอน แวลลีย์ (Silicon Valley) อย่างแอปเปิล (Apple) ด้วย
เมื่อบริษัทเทคฯ เหล่านี้เข้ามาลงทุนในเวียดนาม เศรษฐกิจภายในประเทศต้องเกิดการขยายตัวอย่างแน่นอน โดยในปี 2022 ธนาคารกลางโลก (World Bank) คาดการณ์ว่า จีดีพี (GDP) ของเวียดนามจะขยายตัวถึง 5.5 เปอร์เซ็นต์
นอกจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ อีกสิ่งหนึ่งที่เวียดนามจะได้รับมาเป็นผลพลอยได้จากการลงทุนของบริษัทเทคฯ ก็คือองค์ความรู้ทางเทคโนโลยี และการสร้างนวัตกรรมที่จะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป
กลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีที่ ‘เวียดนาม’ ใช้ในการพัฒนาประเทศ
หัวใจสำคัญที่ทำให้เวียดนามก้าวมาถึงจุดนี้ได้คือ ‘การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล’ (Digital Transformation) อาจจะเป็นคำที่ฟังดูน่าปวดหัว แต่จริงๆ แล้ว ก็คือการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และใช้เทคโนโลยีเพื่อแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ที่คาดไม่ถึงมาก่อน ซึ่งเวียดนามพัฒนาประเทศจาก 2 ปัจจัยหลัก ดังนี้
1. เมืองอัจฉริยะ (Smart City) : ฟันเฟืองที่ผลักดันความเป็นอยู่แบบดิจิทัล
ความเป็นเมืองอัจฉริยะ หรือเมืองที่พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้คนด้วยเทคโนโลยี คือพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่อสายตาชาวโลก และดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนมากขึ้น เพราะความพร้อมทางสาธารณูปโภคพื้นฐานและอินเทอร์เน็ต คือเกณฑ์การตัดสินใจว่า ควรจะเข้ามาลงทุนในประเทศนี้หรือไม่?
โดยรัฐบาลเวียดนามวางแผนในการติดตั้งเครือข่ายไร้สาย 5G ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีที่สำคัญอย่างปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) บล็อกเชน (Blockchain) Internet of Things (IoT) และความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ให้สำเร็จภายในปี 2025
2. สตาร์ตอัป (Startup) : ฟันเฟืองที่ผลักดันสังคมและธุรกิจแบบดิจิทัล
ด้วยพื้นฐานของสตาร์ตอัปที่เป็นธุรกิจแห่งความสร้างสรรค์ที่ใช้เทคโนโลยีมาสร้างความแตกต่าง เพื่อให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น อีกทั้งยังเกิดมาเพื่อแก้ปัญหา และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ธุรกิจเดิมในตลาดทำไม่ได้ ทำให้สตาร์ตอัปกลายเป็นธุรกิจยุคใหม่ในการเปลี่ยนแปลงประเทศ และช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตทางเทคโนโลยีมากขึ้น
ในปัจจุบัน สตาร์ตอัปของเวียดนามมีมากมายหลายบริษัท เช่น Vbee ผู้พัฒนาเสียงพูดภาษาเวียดนามสำหรับ AI และ bePOS แอปพลิเคชันสำหรับจัดการการขายสินค้า เป็นต้น และรัฐบาลเวียดนามก็ยังมีเป้าหมายที่จะสร้างสตาร์ตอัปยูนิคอร์น 10 รายภายในปี 2030 อีกด้วย
ต้องยอมรับว่า การที่เวียดนามสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในอาเซียนได้ เป็นเพราะการปูพื้นฐานทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งมากๆ ไม่ว่าจะด้วยการสนับสนุนของภาครัฐ การร่วมมือของภาคเอกชน การถอดแบบโมเดลการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของประเทศที่ทำสำเร็จมาก่อนอย่างจีนหรือเกาหลีใต้ หรือจากปัจจัยอื่นร่วมด้วยก็ตาม
แล้วทุกคนคิดว่า ‘ไทย’ กำลังถูก ‘เวียดนาม’ แซงหน้าการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในอาเซียนอยู่หรือเปล่า?
Sources: https://bit.ly/3oAvFK0
https://bit.ly/3BhC6JL
https://bit.ly/3vi9YlM
https://bit.ly/3PFEDlk
https://bit.ly/3BlEC1x