‘Sustainable’ ไม่ใช่เทรนด์ แต่เป็นเป้าหมายขององค์กร รู้จัก ‘Zero Energy House’ จากเสนาดีเวลลอปเม้นท์
ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ ปัญหาว่าด้วยเรื่องวิกฤตสิ่งแวดล้อมถูกหยิบยกมาพูดถึงเป็นวงกว้าง สังคม ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชนตื่นตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน วิกฤตพลังงาน ปัญหาการกำจัดขยะพลาสติก และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ในช่วงทศวรรษก่อนนี้อาจไม่ได้มีผลลัพธ์เชิงประจักษ์ที่ทำให้เราทุกคนเห็นภาพตรงกันว่า สิ่งนี้จะลุกลามกลายเป็นวิกฤตที่ส่งผลกระทบกับวิถีชีวิตของเราไปอีกนานแสนนาน
ทว่า 4-5 ปีให้หลังมานี้ ปัญหาสิ่งแวดล้อมกลับฉายชัดมากขึ้น และไม่ได้มีทีท่าว่าวิกฤตดังกล่าวจะสามารถหยุดยั้ง และแก้ไขในระยะเวลาอันสั้นได้เลย โดยข้อมูลจากเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เร่งด่วนที่สุดตอนนี้ ได้แก่ ปัญหาเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพของโลกที่ลดลงพบว่ามีการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในหลายพื้นที่ ต้นไม้บางส่วนถูกทำลาย สัตว์ป่าหายากยิ่งหายากลงไปอีก ต่อมา คือวิกฤตด้านการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ หรือ ‘โลกร้อน’ ที่กระทบทั้งไทยและหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงปัญหาขยะพลาสติกที่จะสร้างมลพิษทางอากาศตามมาอีกมากมาย
จากวิกฤตทั้งหมดที่ว่ามานี้ ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่เรียกว่า ‘eco-concious’ หรือมีความตระหนักรู้ในเรื่องสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หลายคนยอมจ่ายแพงกว่าหากสินค้าและบริการที่ได้รับกลับมามีคุณภาพและยังคู่ขนานไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งจากปัญหาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ ภาคธุรกิจจึงหันมาใส่ใจกับแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน จะทำอย่างไรให้การทำธุรกิจยังตอบโจทย์ทั้งองค์กรเอง ผู้บริโภค และใส่ใจสิ่งแวดล้อมไปด้วย นี่จึงเป็นก้าวสำคัญของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของ SENA ที่เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกัน
สิ่งที่เสนาดีเวลลอปเม้นท์ตั้งโจทย์ด้วยสองส่วนหลักๆ คือ ‘Social Challenge’ และ ‘Mega Trends’ โดย Social Challenge หรือความท้าทายของสังคม คือเจตจำนงที่จะจัดการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือ เห็นพ้องต้องการของคนในสังคม จึงจะสามารถจัดการ แก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพได้ ซึ่งความท้าทายทางสังคมที่เสนาฯ ให้ความสำคัญ ตระหนักถึงก็มีทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาเรื่องการเข้าถึงสาธารณสุข จำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น และปัญหาความเหลื่อมล้ำทั้งเรื่องรายได้ การกระจายโอกาส และอำนาจต่อรองในการเข้าถึงทรัพยากร
ส่วนต่อมา คือ ‘Mega Trends’ เมื่อเราเข้าใจความท้าทายของสังคมที่เกิดขึ้นแล้ว จึงนำมาสู่แนวโน้มของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น โดย Mega Trends ที่เสนาฯ ให้ความสำคัญ ได้แก่ 1. การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน (Growth Sustainability) องค์กรต้องให้ความสำคัญกับการจัดการอย่างยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 2. การสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Health & Well-being) ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาวะทางสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย ทั้งนี้ รวมถึงประเด็นของประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2565 พบว่า ประเทศไทยมีผู้สูงอายุมากถึงราว 12 ล้านคน หรือคิดเป็น 18.3% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งสังคมผู้สูงอายุหรือ ‘Aging Society’ เป็นเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ ผู้คนจะมีชีวิตยืนยาวขึ้นจากการพัฒนาด้านการแพทย์ที่ทันสมัย เมืองจึงต้องพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคน
ต่อมา 3. การขยายตัวของสังคมเมือง (Urbanization) การเติบโตของจำนวนประชากร ส่งผลให้มีการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว โครงสร้างพื้นฐานต้องมีการขยายตัวมากขึ้น เพื่อรองรับกับการดำเนินชีวิต สร้างสมดุลระหว่างงานและที่อยู่อาศัย และ 4. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี (Technology Advancement) ต้องนำเทคโนโลยีอันชาญฉลาด ทันสมัยเข้ามาใช้งานเพื่อความรวดเร็ว สะดวกสบาย ซึ่งเทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างมาก
หลังจากทำความเข้าใจที่มาที่ไปของแนวคิด Sustainability แล้ว ถัดมาเราจะพาไปทำความรู้จักกับส่วนต่างๆ ที่ทางเสนาฯ วางแผนตั้งเป้า เพื่อที่จะสร้าง ‘Ecosystem’ ของการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนควบคู่ไปด้วยกันกับสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น
รู้จักแนวคิด ‘Zero Energy House in Japan’ ที่เสนาดีเวลลอปเม้นท์เลือกใช้
เสนาฯ ตั้งเป้ามุ่งสู่การเป็น ‘Smart Community’ โดยได้แนวคิดมาจาก ‘Smart City’ ซึ่งต้องเล่าให้ฟังก่อนว่า นิยามของเมืองอัจฉริยะหรือ Smart City คือการเป็นเมืองที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมได้อย่างชาญฉลาด สิ่งสำคัญคือนอกจากจะเป็นการออกแบบที่สอดรับกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเมืองแล้ว Smart City ยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างคุ้มค่า แนวคิด ‘Zero Energy House’ หรือ ‘ZEH’ คือสิ่งที่เสนาฯ เลือกใช้
Zero Energy House เป็นองค์ความรู้ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยของญี่ปุ่น คือเป็นบ้านที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน ได้ใกล้เคียงหรือน้อยกว่า ‘ศูนย์’ ในรอบ 1 ปี ด้วยการประหยัดพลังงานให้ได้มากที่สุดในการอยู่อาศัยและที่สำคัญ ในขณะที่เราได้รักษาสิ่งแวดล้อม ความเป็นอยู่วิถีชีวิตของผู้อยู่อาศัยก็ยังสะดวกสบายด้วย โดยหลักการของบ้านแบบ ‘Zero Energy House’ คือใช้พลังงานไม่มาก มีการควบคุมอุณหภูมิภายในบ้านให้เหมาะสมจากการออกแบบ (Passive Design) เพื่อใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงมีระบบผลิตพลังงานใช้เองจากพลังงานหมุนเวียนอีกด้วย ซึ่งเมื่อนำมาหักลบกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าแล้วก็จะเท่ากับศูนย์นั่นเอง
สู่ ‘Sena HHP Zero Energy House’ เทคโนโลยีที่จะช่วยเปลี่ยนโลก
จากโมเดลแนวคิดบ้านประหยัดพลังงานที่ทางเสนาฯ ได้มีการพาร์ตเนอร์กับฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ จำกัด เสนาฯ จะกลายเป็นบริษัทอสังหาฯ รายแรกของไทย ที่นำเอา Zero Energy House หรือ นวัตกรรม ‘บ้านพลังงานเป็นศูนย์’ มาใช้ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เตรียมเปิดตัวในอนาคต เพื่อแก้ปัญหาเรื่องของวิกฤตพลังงานโลกที่กำลังเป็นที่พูดถึง และยังเหมาะสมกับวิถีชีวิตคนไทยไปในขณะเดียวกัน
ทั้งนี้ เสนาฯ ได้นำแนวคิด Geo Fit+ จาก Hankyu Hanshin Properties ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในการก่อสร้างและองค์ความรู้ในการออกแบบที่ให้ผู้อยู่อาศัยได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและเสนอความต้องการ เน้นความสะอาด ปลอดภัย ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า และรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วย ซึ่งทางเสนาฯ นำแนวคิด ‘Tsunagu’ ที่เน้นเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมจาก Geo Fit+ มาประยุกต์จนเกิดเป็น ‘SENA HHP Zero Energy House’ ทั้งส่วนของ Solar Rooftop ดีไซน์การลดพลังงานภายในบ้าน และเซอร์วิสอื่นๆ ทั้ง EV Station, Waste Management และ Healthcare เป็นต้น ซึ่งหมายความว่าไม่ใช่แค่ส่วนของ Solar Rooftop เท่านั้น แต่เสนาฯ ยังนำเทคโนโลยีประหยัดพลังงานเข้ามาอยู่ในสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้กับลูกบ้านด้วย
‘SENA HHP ZERO ENERGY HOUSE’ โครงการนำร่องบ้านพลังงานเป็นศูนย์จากเสนาดีเวลลอปเม้นท์
หลังจากที่มีการนำแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์แบบญี่ปุ่นอย่าง ‘Zero Energy House’ และเรียนรู้ Know-how ต่างๆ มาปรับให้เข้ากับวิถีชีวิตคนไทยแล้ว เบื้องต้น ทางเสนาฯ จะเริ่มนำองค์ความรู้ดังกล่าวพัฒนาในโครงการบ้านและคอนโดก่อน 2 โครงการด้วยกัน โดยยึดการพัฒนาตามกรอบแนวคิดของ Hankyu Hanshin Properties ซึ่งมีเกณฑ์ทั้งหมด 4 ระดับด้วยกัน ได้แก่ 1. SENA ZEH ลดการใช้พลังงานได้ 100% ขึ้นไป 2. SENA Nearly ZEH ลดการใช้พลังงานได้ 75% ขึ้นไป 3. SENA ZEH Ready ลดการใช้พลังงานได้ 50% ขึ้นไป และ 4. SENA ZEH Oriented ลดการใช้พลังงานได้ 20% ขึ้นไป ซึ่งทั้ง 2 โครงการที่เสนาฯ จะนำร่องบ้านประหยัดพลังงานจะใช้เกณฑ์ที่ 4. ก่อน นั่นคือลดการใช้พลังงานได้ 20% ขึ้นไป รวมกับ Renewable Energy แล้ว
โครงการแรก ได้แก่ บ้านเดี่ยวโครงการ เสนา แกรนด์โฮม บางนา กม. 29 ใช้หลักการออกแบบ Passive Design ในเรื่องการวางทิศทางตัวบ้าน ช่องเปิด การเลือกใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติเป็นฉนวนสูง เหมาะกับสภาพอากาศประเทศไทย และยังเลือกใช้อุปกรณ์ระบบไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง และใช้ Solar Rooftop เป็นพลังงานทดแทน
โครงการที่สอง ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมที่จะเปิดตัวในปี 2566 ใช้หลักการออกแบบ Passive Design เช่นกัน รวมถึงการวางทิศทางตัวอาคาร ช่องเปิด เลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้พลังงานทดแทนอย่าง Solar Rooftop และใช้ระบบการบริหารอาคาร (BMS)
นอกจากนี้ โครงการบ้าน ‘SENA HHP ZERO ENERGY HOUSE’ ยังได้รับการรับรองจาก Chula Unisearch ซึ่งในการศึกษาได้มีการจำลองการใช้พลังงานของอาคารด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (Building energy simulation) ด้วยโปรแกรมที่เป็นที่ยอมรับ เช่น โปรแกรม DOE-2, EnergyPlus และ eQUEST โดยกำหนดตัวแปรในการควบคุม 2 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลอากาศรายชั่วโมงของกรุงเทพมหานคร และการหมุนอาคารเป็น 4 ทิศ และหาค่าเฉลี่ยการใช้พลังงานรวม โดยการสร้างสมมติฐาน 2 รูปแบบ ได้แก่ 1. การใช้งานบ้านแบบปกติ เน้นออกนอกบ้านไปทำงาน และกลับมาพักผ่อนตอนกลางคืน กับ 2. การใช้งานแบบบ้านที่มีผู้สูงอายุหรือ Work from home คือมีการใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งจากผลวิจัยนี้จะทำให้เราเห็นผลลัพธ์เชิงประจักษ์กับบ้านประหยัดพลังงานมากขึ้น
ธุรกิจที่ดี ต้องใส่ใจชีวิตผู้คน
เพราะการทำธุรกิจในยุคนี้ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกได้อีกต่อไป องค์กรต้องกลับมาใส่ใจและตั้งเป้าหมายที่ใหญ่และไกลไปกว่านั้น จะทำอย่างไรให้การทำธุรกิจของเรายังดีกับผู้คน ดีกับโลก ดีกับสิ่งแวดล้อม หากธรรมชาติโรยราลงไปเรื่อยๆ ภาคธุรกิจเองก็ไม่สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ กำไรและต้นทุนไม่ใช่คำตอบของโจทย์ทั้งหมด แต่ในสมการการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนต้องเกื้อกูลกับทุกฝ่าย มีบทบาทกับสังคมในมิติอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย
นอกจาก ZERO ENERGY HOUSE ซึ่งเป็นการพัฒนาในมิติ Smart Energy แล้ว หลังจากนี้เสนาฯ ยังมีโปรเจกต์อื่นๆ อีกหลายอย่าง ที่จะพัฒนาอีก 4 มิติ (Smart Environment/ Smart Living/ Smart Mobility/ Smart People) เพื่อครอบคลุมการเป็น ‘SENA Smart Community’ ซึ่งจะมีอะไรบ้างต้องติดตามกันต่อไป เพราะเสนาดีเวลลอปเม้นท์ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว แต่ยังปักธงเป็น ‘AN ESSENTIAL LIFELONG TRUSTED PARTNER’ ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตครบทุกด้าน ทุกความต้องการของทุกคน ทั้งลูกบ้าน ชุมชน และสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน
Sources: http://bit.ly/3i4iNMj