หุ่นยนต์ คำถามปรัชญา และอนาคตข้างหน้า เมื่อเรามอบปัญญามนุษย์ให้กับเทคโนโลยี
ถ้ารถยนต์ไร้คนขับเผชิญกับอุบัติเหตุที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ยังสามารถเลือกได้ว่าจะปกป้องใคร
ถ้าหุ่นยนต์กู้ภัยอยู่ในเหตุการณ์ไฟไหม้จะต้องช่วยคนไหนก่อน
AI ควรยึดหลักจริยธรรมแบบไหน?
ถ้าพูดถึงเทคโนโลยีในปัจจุบัน อาชีพโปรแกรมเมอร์คงเป็นอาชีพที่โดดเด่นที่สุด เพราะคือผู้ทำหน้าที่ในการออกแบบ และสร้างโปรแกรม ระบบ หรือสมองของเทคโนโลยีใหม่ๆ
แต่ในอนาคตต่อไป อาชีพที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาเทคโนโลยีอาจไม่ใช่โปรแกรมเมอร์อีกต่อไป งานของโปรแกรมเมอร์คือการออกแบบ และวางระบบการทำงานของโปรแกรมต่างๆ แต่การออกแบบเทคโนโลยีในอนาคตต่อจากนี้ไป อาจต้องอาศัยทักษะอื่น หากหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ จำเป็นจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆ
เมื่อการออกแบบนวัตกรรมยุคถัดไปต้องอาศัยหลักปรัชญา
ปรัชญาคือศาสตร์ของการให้เหตุผล และยังเป็นศาสตร์ซึ่งวางพื้นฐานวิธีคิดอีกด้วย
ในอนาคตต่อไปที่เทคโนโลยีพัฒนาขึ้น ในวันที่เทคโนโลยีจะไม่เพียงทำงานด้วยตนเอง แต่จะคิดด้วยตนเอง เทคโนโลยีเหล่านั้นควรคิดเช่นไร อยู่บนพื้นฐานความคิดแบบไหน และต้องตัดสินใจอย่างไร
โลกกำลังจะเข้าสู่ยุคที่ต้องการนักปรัชญายิ่งกว่าครั้งไหนๆ
เทคโนโลยีอนาคต จะไม่ได้มีแค่การออกแบบโปรแกรม หรือการทำงาน แต่จะต้องมีกระบวนการของการออกแบบวิธีคิด และวิธีตัดสินใจ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ต้องใช้ปรัชญาเข้ามาช่วยแก้
แนวคิดทางปรัชญาเกิดขึ้นมาเพื่อตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ มาอย่างช้านาน และยังตั้งคำถามกับสิ่งที่เราไม่อาจตอบได้ด้วยวิทยาศาสตร์ หรือศาสตร์อื่น ๆ นั่นคือจริยธรรม (Morality)
วันนี้เราพยายามพัฒนา และมอบปัญญาแบบมนุษย์ให้กับหุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีก็สามารถช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น ควบคู่กับที่หุ่นยนต์สามารถทำงานได้ใกล้เคียงกับมนุษย์ในหลากหลายด้านมากขึ้น
แต่ในการพัฒนาในทิศทางนี้ต่อไป หากเราจะมอบหน้าที่บางอย่างให้กับหุ่นยนต์ เราอาจไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะให้หุ่นยนต์ตัดสินใจด้วยตัวเองได้
เมื่อหุ่นยนต์กลายเป็นผู้ตัดสินใจ
หากคุณกำลังขับรถไปบนทางตรง และมีเด็กคนหนึ่งวิ่งมากลางถนนโดยไม่สนใจจราจร สิ่งแรกที่เราจะตัดสินใจทำคือหักรถหลบ และนั่นทำให้เราประสบอุบัติเหตุได้
ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เรากระทำไปโดยตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เราไม่ต้องการที่จะชนเด็กที่โผล่มากลางถนน หรืออย่างน้อยเราก็ไม่อยากจะเหยียบคันเร่งและวิ่งชนไปทั้งอย่างนั้น
คำถามคือหากสถานการณ์นี้เกิดขึ้นกับรถยนต์ไร้คนขับ รถคันนั้นจะตัดสินใจอย่างไร ?
ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ เราต้องบอกก่อนว่าการที่เราหักรถหลบเด็กที่วิ่งมากลางถนนนั้นไม่ใช่การ “ตัดสินใจ” เพียงแต่เป็นการ “ตอบสนอง” นั้นหมายความว่าในเสี้ยววินาทีที่เด็กวิ่งออกมากลางถนน เราไม่ได้เลือกระหว่างที่จะชนเด็ก หรือหักรถหลบ เราเพียงแค่ตอบสนองกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า โดยไม่ได้คำนวณถึงความเป็นไปได้ต่างๆ และเราอาจไม่สามารถคิดคำนวณเช่นนั้นได้เลยด้วยซ้ำ
แต่รถยนต์ไร้คนขับทำได้
หากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นคือเด็กคนหนึ่งวิ่งมากลางถนน โดยไม่ได้ดูจราจร รถยนต์ไร้คนขับจะสามารถคำนวณ และ “ตัดสินใจ” เลือกทางที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาได้ เพราะปัญญาประดิษฐ์ที่ขับเคลื่อนรถยนต์นั้นมีความสามารถในการคิดคำนวณในชั่วระยะเวลาอันสั้น และนี่จึงทำให้ทำไมรถยนต์ไร้คนขับอาจเป็นสิ่งที่ดีกว่าคนขับรถเอง
แต่หากเราไม่ให้ทางเลือกกับรถล่ะ
ทำไมหุ่นยนต์ต้องมี “จริยธรรม”
หากรถกำลังวิ่งไปบนถนน ถูกขนาบข้างด้วยจักรยานยนต์ในฝั่งหนึ่ง รถยนต์ในอีกฝั่ง และข้างหน้ามีรถส่งสินค้าขับนำอยู่ ทันใดนั้นสินค้าที่บรรทุกอยู่บนรถส่งสินค้าหลุด และร่วงลงมาบนถนน รถยนต์ไร้คนขับจะต้องตัดสินใจอย่างไร
– เบี่ยงรถออกด้านข้าง เพื่อลดโอกาสบาดเจ็บของผู้โดยสาร
– ขับตรงต่อไปเพื่อไม่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุกับรถในเลนอื่น
สองทางเลือกนี้เป็นทางเลือกโดยไม่ละเอียดที่เกิดขึ้นในสถานการณ์นั้น ซึ่งก็ดูเป็นเรื่องยากอยู่แล้วที่จะตัดสินใจ แต่หากเราพยายามแยกแยะตัวเลือกที่ละเอียดกว่านั้นออกมา รวมถึงเหตุผลในตัวเลือกต่าง ๆ เราจะเห็นได้ว่าตัวเลือกในตอนนั้นคือ
1. ขับตรงไป และให้ผู้โดยสารรับความเสี่ยงในอุบัติเหตุนั้น (ผู้โดยสารเสี่ยงมากที่สุด)
2. เบี่ยงรถออกไปชนกับรถยนต์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยของผู้โดยสารดีกว่ารถจักรยานยนต์ (ผู้โดยสารเสี่ยงปานกลาง)
3. เบี่ยงรถออกไปชนกับจักรยานยนต์ ที่จะทำให้ผู้โดยสารบนรถปลอดภัย (ผู้โดยสารเสี่ยงน้อยที่สุด)
ทั้งสามตัวเลือกนั้นล้วนสามารถเลือกได้โดยมีเหตุผลรองรับที่ต่างกัน และหากสถานการณ์นี้มีผู้ขับเป็นคนตัดสินใจ เราก็จะสามารถตัดสินได้ว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการ “ตอบสนอง” ของผู้ขับ และนี่คืออุบัติเหตุที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ในสถานการณ์ของรถยนต์ไร้คนขับ “การตัดสินใจ” เกิดขึ้นจริงในระบบของรถ ว่ารถคันนั้นตัดสินใจโดยยึดอะไรเป็นหลัก ความปลอดภัยของผู้โดยสาร หรือความปลอดภัยของผู้อื่น
แน่นอนว่าคำตอบของคำถามที่ตั้งขึ้นมานี้ไม่ได้มีคำตอบที่ถูกต้อง แต่ในขณะเดียวกันเราก็ยังต้องค้นหา “คำตอบที่ยอมรับได้มากที่สุด” จากสถานการณ์ที่ว่านี้
รถยนต์ไร้คนขับอาจไม่เกิดขึ้นจริง
แม้ในวันนี้จะมีรถยนต์ไร้คนขับปรากฎให้เราเห็นบ้างแล้ว แต่รถยนต์เหล่านั้นก็ยังต้องอาศัยมนุษย์เป็นผู้ควบคุมในเวลาเดียวกันไปด้วย
แต่รถยนต์ไร้คนขับ ที่มีปัญญาประดิษฐ์ควบคุมรถโดยสมบูรณ์อาจไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ เพราะปัญหาทางศีลธรรมที่ไม่สามารถแก้ได้ที่ว่าไปก่อนหน้านี้
เพราะการอนุญาตให้บริษัทผลิตรถยนต์ สร้างรถยนต์ไร้คนขับที่มีระบบซึ่งตัดสินใจเลือกตัวเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งที่ว่ามา เท่ากับเรายอมรับคำตอบหนึ่งในนั้น ซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเลือกได้จริง ๆ
ในอนาคตหากรถยนต์ไร้คนขับโดยสมบูรณ์จะเกิดขึ้น เราอาจได้เห็นตัวเลือกที่ชัดเจน ว่ารถจะให้ความสำคัญกับผู้โดยสารก่อน หรือให้ความสำคัญกับผู้อื่นบนท้องถนนก่อน
หากให้เราคิดในตอนนี้ เราอาจมองว่าตัวเลือกที่มีความรับผิดชอบที่สุดคือการให้รถยนต์ไร้คนขับเลือกให้ความสำคัญกับผู้อื่นก่อน
แต่ในความเป็นจริง เราจะยอมนั่งบนรถยนต์ที่จะไม่สนใจความปลอดภัยของเราก่อนจริง ๆ หรือ
ข้อขัดแย้งทางศีลธรรมที่ถูกตั้งขึ้นมานี้เป็นเสมือนกำแพงสุดท้ายที่อาจทำให้รถยนต์ไร้คนขับไม่อาจเกิดขึ้นจริงได้
ความกังวลของเทคโนโลยีแห่งยุคถัดไป
ไม่ใช่เพียงแค่รถยนต์ไร้คนขับเท่านั้น แต่ต่อไปในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ที่มีบทบาทใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น ก็จำเป็นที่ต้องเผชิญหน้ากับกำแพงทางศีลธรรม และปรัชญา
ในวันนี้เทคโนโลยีมีบทบาทช่วยเราในการตัดสินใจเท่านั้น แต่หากวันหนึ่งที่เทคโนโลยีจะทำหน้าที่ตัดสินใจแทนเรา เพราะประสิทธิภาพที่สูงกว่าอย่างชัดเจน เราจำเป็นที่จะต้องวางลู่ทางให้เทคโนโลยีเหล่านี้ไว้
ปรัชญาคือเส้นทางหนึ่งที่เราจำเป็นจะต้องแผ้วทางให้กับเทคโนโลยีรุ่นถัดไป เพื่อกำหนดทิศทางที่เทคโนโลยีจะเดินหน้าไปในบทบาทของผู้ที่จะมาช่วยตัดสินใจแทนมนุษย์ ยังมีคำถามอีกมากมายที่เราจะต้องตั้งคำถามกับหุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ เพื่อที่จะเข้าใจเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่จะมีประสิทธิภาพมากกว่าผู้สร้างมัน
เพราะในวันนี้เราเองต่างก็ยังกังวล ว่าในอนาคตเราจะควบคุมเทคโนโลยีที่เราสร้างขึ้นมานี้ได้หรือไม่
ปรัชญา และอนาคต เมื่อเรามอบปัญญามนุษย์ให้กับเทคโนโลยี
ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีได้กลายเป็นผู้ถือคบเพลิงเบิกทางสู่ยุคใหม่ให้กับมนุษย์ แต่ในทางเดินที่ทอดยาวต่อไปสู่อนาคต ปรัชญาอาจกลายเป็นอีกหนึ่งคบเพลิงที่จำเป็นในการเบิกเส้นทางสู่ยุคต่อไปของมนุษยชาติ
ปัจจุบัน ปรัชญาและ AI ได้ถูกนำมาเป็นประเด็นเชื่อมโยงกันจนเกิดเป็นสาขา Philosophy of AI ซึ่งเป็นสาขาของการตั้งคำถามกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่ได้เกิดขึ้นมาใหม่นี้ เพื่อหาคำตอบในหลายๆเรื่องที่วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไม่สามารถหาคำตอบได้
ซึ่งนอกจากปัญหาเรื่องวิธีคิดของ AI แล้ว ยังครอบคลุมไปถึงเรื่องของการรับรู้ของ AI ความใกล้เคียงกับมนุษย์ สิทธิสำหรับหุ่นยนต์ที่อาจเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต
และแม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มีอาชีพใหม่เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับ แต่อาชีพสำหรับนักปรัชญา AI จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน