สมัยเด็ก เวลาเดินเข้าร้านสะดวกซื้อหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้า ถ้าอยู่โซนขนม ไอเท็มที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ ‘อมยิ้มไม้เสียบราคาแสนถูกของแบรนด์ในตำนาน’ คุณนึกถึงจูปา จุ๊ปส์ (Chupa-Chups) ใช่ไหม? ถูกต้องแล้วค่ะ! เรากำลังพูดถึงอมยิ้มไม้เสียบหลากรสนี้กันอยู่
จูปา จุ๊ปส์ อมยิ้มที่หากพูดชื่อขึ้นมาไม่น่าจะไม่มีใครไม่รู้จัก หนึ่งในแบรนด์ของบริษัทเพอร์เฟตตี ฟาน เมลเล่ (Perfetti Van Melle) เจ้าของเดียวกับลูกอมเมนทอส (Mentos) ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มเด็กๆ
สารภาพว่า ตอนเด็กๆ ดิฉันชอบทานมากเลยค่ะ และในปัจจุบัน ถึงแม้จะอายุยี่สิบกว่าแล้ว ไม่ได้เป็นเด็กน้อยอีกต่อไป แต่ยังไม่มีวี่แววว่า จะเลิกทานสักที
ด้วยรสชาติที่อร่อย กลิ่นที่เย้ายวน หีบห่อที่สวยงาม ผสมโรงกับความทรงจำวัยเด็กที่เวลาร้องไห้หรือทำอะไรสำเร็จก็มักจะได้รางวัลเป็นสิ่งนี้เสมอ ทำให้ทุกครั้งที่เหลือบไปเห็นสินค้าชิ้นนี้ในร้านค้า ไม่มีครั้งไหนเลยค่ะ ที่จะหักห้ามใจไม่ให้ซื้อติดไม้ติดมือกลับมาทานต่อ
เชื่อว่า บางคนในที่นี้ก็น่าจะเป็นเหมือนกันใช่ไหมคะ? ขอหาพวกสักหน่อย ฮ่า แล้วคุณเคยสงสัยกันไหมว่า ทั้งที่ก็มีอมยิ้มในท้องตลาดออกมาตั้งมากมาย แต่ทำไมกันนะ จูปา จุ๊ปส์ถึงยังคงฮิตนักฮิตหนาจนถึงทุกวันนี้?
อันดับแรกเลยที่ทำให้ทางแบรนด์ขายดีมาหลายสิบปี และสามารถส่งออกไปยังทั่วโลกได้ก็คือ Character และเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของสินค้าค่ะ อย่างที่เห็นกันว่า โลโก้ของทางแบรนด์นั้นเป็นภาพโลโก้อมยิ้มไม้เสียบบนดอกเดซี่ มีสีสันสวยงามทำให้สามารถจดจำได้ง่าย เห็นปุ๊บรู้ทันทีว่า ต้องเป็นอมยิ้มแน่ๆ มีการนำเสนอตัวตนผ่านความหอมหวาน และความสดใส หีบห่อที่สวยสะดุดตา รสชาติที่มีให้เลือกมากกว่า 100 รส จึงเป็นอะไรที่ดึงดูดนักทดลองสายหวาน ไม่ชอบความซ้ำซากได้จำนวนมาก
ไปต่อที่กลยุทธ์ที่สองกันเลย อย่างที่บอกไปว่า แบรนด์อมยิ้มนี้ยืนหนึ่งมาเป็นเวลากว่า 64 ปีแล้ว ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ เพราะด้วย Story ที่ยาวนาน การมีต้นกำเนิดมาจากแดนไกล เรื่องราวประวัติความเป็นมาที่ยาวเหยียด และมีจุดเด่นเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งแบรนด์อมยิ้มนี้เคยถูกนักบินอวกาศชาวรัสเซียพกติดตัวไปปฏิบัติภารกิจสุดยิ่งใหญ่ถึงนอกโลก เพราะส่วนตัวเขาเองชอบทานมากๆ ถ้าลองคิดดู จะมีแบรนด์อมยิ้มสักกี่แบรนด์กันเชียวที่สามารถเข้าไปนั่งอยู่ในใจผู้บริโภคจนต้องพกติดตัวไปได้ไกลถึงขนาดนี้ใช่ไหมเอ่ย
และจากกลยุทธ์ในข้อแรก และข้อที่สองเนี่ยแหละค่ะ จึงทำให้ทางแบรนด์นั้นเนื้อหอม เป็นที่หมายตาของแบรนด์ในวงการอื่นๆ ดึงดูดให้อยากเข้ามา collaboration ด้วย ซึ่งกลยุทธ์นี้ก็คือ ‘กลยุทธ์การยืดตราสินค้า (Brand Stretching)’ ค่ะ มันไม่ใช่แค่การแตกไลน์ธุรกิจเพื่อผลกำไรเพียงอย่างเดียวนะคะ แต่ยังเป็นการ tie-in แบรนด์อีกทางหนึ่งโดยไม่ต้องใช้เม็ดเงินโฆษณาสักบาทเดียวอีกด้วย
ที่ผ่านมาก็เคยมีการ collaboration ไปแล้วด้วยกัน เช่น น้ำหอมปรับอากาศรถยนต์จูปา จุ๊ปส์ และครีมอาบน้ำจูปา จุ๊ปส์ เรียกได้ว่า สร้างความรู้สึกตื่นตาตื่นใจให้เหล่าพวกบริโภคอย่างเราๆ ได้ดีพอสมควร
สมมติว่า คุณใช้น้ำหอมปรับอากาศรสถยนต์กลิ่นจูปา จุ๊ปส์ แล้วเกิดชื่นชอบมากๆ สิ่งนี้ก็เป็นแรงกระตุ้นหนึ่งที่ทำให้คุณเกิดอยากจะเดินไปซื้ออมยิ้มไม้เสียบสุดคลาสสิกนี้นั่นเอง ถือเป็นการต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ และขยายแบรนด์สู่น่านน้ำใหม่ๆ ได้อย่างชาญฉลาดมากๆ เลยค่ะ
บวกกับราคาที่จับต้องได้ ไม้ละไม่กี่บาท ไม่ว่าจะวัยไหน เพศไหน สถานะทางสังคมแตกต่างกันยังไง ก็สามารถเข้าถึงได้ และนอกจากนี้ยังเป็นแบรนด์ลูกอมที่หาซื้อง่าย มีวางขายทุกร้านสะดวกซื้อหรือซุปเปอร์มาร์เก็ต แถมเขายังวางกลยุทธ์ในการจัดวางสินค้าเอาไว้อีกด้วยนะ สังเกตง่ายๆ เลย ลูกอมไม้เสียบนี้มักจะอยู่โซนขนมชั้นล่าง ทำให้เด็กๆ สามารถหยิบได้ง่าย หรือไม่ก็วางอยู่แถวเคาท์เตอร์ชำระเงิน ล่อตาล่อใจเหล่าสาวกสายหวานได้เป็นอย่างดี
และประเด็นสุดท้ายที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ความใส่ใจ และการคืนกำไรสู่สังคมค่ะ แม้ว่าอมยิ้มนี้จะมีราคาไม่กี่บาท แต่ก็ยังคงให้ความสำคัญกับผู้บริโภคเสมอ ซึ่งถ้าเข้าไปในเว็บไซต์ของทางแบรนด์ จะเห็นว่า มีการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับส่วนประกอบ สารอาหาร โภชนาการ และสารก่อภูมิแพ้เอาไว้
นี่ยังไม่พอ เพราะภายในเว็บไซต์ยังมีแบบฟอร์มร้องเรียนเกี่ยวกับความไม่พึงพอใจในตัวสินค้าให้กรอก ไม่ได้แค่ขายถูกๆ แล้วจบไป แต่สร้างประสบการณ์ที่ดี รวมถึงยังมีการคืนกำไรสู่สังคมกลับมาในรูปแบบของการเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของโบสถ์ โรงเรียน และองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรอีกด้วย
ช่วงเวลา 64 ปีที่ผ่านมาก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า จูปา จุ๊ปส์ได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ รักษามาตรฐานได้ดีเยี่ยม สร้างภาพลักษณ์ที่น่าจดจำได้เป็นอย่างดีจนเกิดเป็นอมยิ้มที่สร้างรอยยิ้มได้ไม่รู้ลืม… และนี่ก็คือ ‘กลยุทธ์น่าจุ๊บ’ ที่ทำให้จูปา จุ๊ปส์ยืนหนึ่งมาอย่างยาวนาน ขึ้นแท่นเป็นอมยิ้มที่ขายดีที่สุดในโลกนั่นเอง
Sources: https://bit.ly/3KgLZs5