ไม่หยุดฝัน ไม่หยุดพยายาม…ตามหา Passion ของตัวเองอย่าง ‘ลิซ่า BLACKPINK’
‘ลิซ่า’ หนึ่งในสมาชิก BLACKPINK วงเกิร์ลกรุ๊ปไอดอลเกาหลี ที่นอกจากทำชื่อเสียงในเกาหลี ยังตีตลาดเอเชียและก้าวสู่ตลาดอเมริกาอย่างสวยงาม แต่เราจะไม่พูดถึงเรื่องชื่อเสียงกัน เรามาลองดูว่า ‘ลิซ่า’ มี passion กับสิ่งที่รักยังไง เธอถึงได้ทำมันให้สำเร็จและได้รับการยอมรับจากผู้คนมากมาย
อย่างที่เรารู้กันว่าลิซ่าเข้าเป็นเทรนนี่ใน YG Entertainment ตั้งแต่อายุ 14 ปี ซึ่งคิดดีๆคือเด็ก ม.2 เท่านั้น แล้วเด็กอายุ 14 หนึ่งคนจะต้องพยายามมากแค่ไหนถึงจะผ่านเข้ารอบออดิชั่นของค่ายเพลงเกาหลีที่ขึ้นชื่อว่าเป็น 1 ใน 3 ค่ายใหญ่ของวงการได้
Passion เป็นตัวสำคัญในการขับเคลื่อนสิ่งนี้ เพราะลิซ่าชอบเต้น จึงเรียนเต้นหลายรูปแบบเพื่อหาสไตล์และแนวที่ตัวเองถนัด นอกจากนั้นยังเป็นการผสมผสานแนวเพื่อปรับให้เป็นแนวของตัวเองด้วย มีการตั้งทีมเต้นและลงแข่งหลายๆครั้งตั้งแต่เด็ก จนผ่านการออดิชั่นของ YG และเข้าไปเป็นเทรนนี่จึงก้าวสู่เส้นทางการเป็นไอดอลเต็มตัว
เชื่อได้ว่าหลายๆคนมีความฝันตั้งแต่เด็กๆว่า ฉันอยากเป็นนั่น ฉันอยากเป็นนี่ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป หลายสิ่งหลายอย่างทำให้เรารู้และเข้าใจว่าบางครั้งสิ่งที่ฝันกับสิ่งที่เป็นก็อาจเป็นสิ่งเดียวกันไม่ได้ สิ่งที่ฝันอาจทำรายได้ไม่มากพอกับสิ่งที่เป็น หรือบางทีสิ่งที่ฝันอาจไกลเกินกว่าตัวเราจะก้าวไปได้ เราจึงต้องจำเป็นเก็บความฝันนั้นไว้ในใจ อาจทำเป็นงานอดิเรกหากทำได้ และก้มหน้าทำสิ่งที่เป็นเพื่อหาเลี้ยงตัวเองในทุกๆวัน แต่ก็มีคนที่ทำให้สิ่งที่ฝันเป็นสิ่งที่เป็นจริงได้ ซึ่งสิ่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในความฝันของตัวเอง เป็นเพราะว่าเขามี ‘passion’ ยังไงล่ะ
คำถามคือ Passion คืออะไร มันสำคัญกับชีวิตรึเปล่า?
Passion คือความหลงใหลในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นความหลงใหลที่อยากทำสิ่งนี้ให้สำเร็จโดยไม่ต้องนึกถึงความจำเป็นใดๆ เช่น ทำแล้วจะได้เงินมั้ย ทำแล้วพ่อแม่จะว่ามั้ย มีเกียรติรึเปล่า เป็นต้น คือทำเพราะอยากทำ ใครจะมองอย่างไรก็ไม่สนใจ ไม่มีรายได้ก็ไม่เป็นไร แค่ทำแล้วรู้สึกมีความสุข รู้สึกดีที่ได้ทำสิ่งสิ่งนั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นว่าเราต้องสนใจสายตาคนอื่นมากมาย เพราะสุดท้ายสิ่งที่เราทำก็ส่งผลโดยตรงต่อเราอยู่ดี อย่างน้อยถ้ามันผิดพลาดมันก็เป็นเพราะเราเลือกเอง ไม่ใช่ทำตามความต้องการของคนอื่น
แล้วเราจะหา Passion เจอได้ยังไง
1. ถามตัวเองดีๆ
ให้เราลองนั่งสงบๆ ลองถามตัวเองดูว่าเราชอบทำอะไร สิ่งนั้นอาจไม่ต้องจริงจังขนาดที่ว่า ฉันชอบวาดรูป หรือฉันชอบเขียนเรื่อง อาจเป็นสิ่งเล็กๆ เช่น ชอบช่วยเหลือคนข้ามถนน ชอบช่วยแม่ทำอาหาร อะไรแบบนี้ก็ได้ ให้มันเป็นสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข มีความรู้สึกตื่นเต้นและอยากทำมันอีกเรื่อยๆ โดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่นใดเพิ่มเลย
2. ลองคิดถึงตอนเด็กว่าตอนนั้นชอบทำอะไร
อาจดูไม่น่าเป็นไปได้ เพราะกิจกรรมวัยเด็กของหลายๆคนไม่ได้มีมากนัก บางอย่างอาจเกิดจากการที่พ่อแม่ให้ทำมากกว่าอยาทำเอง แต่ลองคิดดูก่อนว่าจากที่ได้ทำมาเนี่ย ตอนนั้นทำอะไรแล้วรู้สึกโอเคมากที่สุด รู้สึกว่าฉันทำได้ดี และชอบที่จะได้ทำมันอีก อย่างเช่น ปลูกต้นไม้ ร้องเพลง เต้น เล่นดนตรี หรือแอบเปิดไฟอ่านหนังสือตอนกลางคืน ก็ได้เช่นกัน
3. ลิสต์รายการสิ่งที่ชอบทำ
ย้อนกลับมาที่ปัจจุบัน เรามาดูกันว่าเราชอบทำอะไรบ้าง เอาทั้งที่ชอบและที่ทำได้เลย ลิสต์ให้เยอะๆเลย ดูเหมือนจะง่ายแต่เมื่อถึงข้อหลังๆเราจะเริ่มตัน คิดออกยากว่าฉันชอบอันนี้รึเปล่า ซึ่งส่วนใหญ่พวกนี้แหละคือสิ่งที่จะเป็น passion มากกว่าสิ่งที่ชอบและทำได้ง่ายๆอย่างเดียว
4. ก้าวผ่านความกลัว
คนเราต้องมีความกลัวในสิ่งที่อยากทำอยู่แล้ว เช่น ไม่กล้าวาดรูปเพราะกลัวออกมาไม่สวย ไม่กล้าแต่งหน้าเพราะกลัวคนอื่นมองแปลกๆ หรือไม่กล้าแต่งนิยายเพราะกลัวไม่มีคนอ่าน พวกนี้เป็นความกลัวที่เกิดจากใจเราที่เราสร้างขึ้นมาก่อนจะได้ลองทำ ถ้าเราหยุดมันแล้วทำก่อน ค่อยดูว่ามันจะเกิดแบบที่เราคิดมั้ย จะมีฟีดแบครุนแรงแบบที่นึกไว้รึเปล่า ยังไงสิ่งสำคัญคือให้ทำก่อน ให้เรารู้ว่าเราทำมันได้นะ รวมถึงสิ่งที่ทำเป็นปกติแล้วมีคนชมก็เช่นกัน เราอาจมองว่ามันปกติ ใครๆก็ทำได้ แต่ถ้าลองมองดีๆ ไม่แน่สิ่งนั้นอาจเป็นสิ่งที่เราจะมี passion กับมันก็ได้
5. อนาคตเราจะทำมันมั้ย
อนาคตในที่นี้หมายถึง ถ้าเรามีทุกอย่างพร้อมแล้วเราจะยังอยากทำมันอยู่มั้ย หรือถ้าให้แลกสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้กับสิ่งที่อยากทำโดยไม่สนรายได้เราจะทำมันมั้ย สิ่งนี้เป็นตัวคัดกรองได้ดีว่าเราชอบที่จะทำสิ่งที่เราบอกว่าเรามี passion จริงๆรึเปล่า และบางครั้งสิ่งที่เราชอบทำก็เป็นอะไรง่ายๆที่เราอาจจะคาดไม่ถึง เป็นงานอดิเรกหรือสิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำแต่ไม่ได้มีรายได้เท่านั้น แต่มันเป็นสิ่งที่เราทำเป็นปกติ รู้สึกมีความสุขที่ได้ทำมันก็พอ
6. ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง
เรียกว่าถึงแม้เราจะหา passion ในสิ่งที่เราชอบเจอแล้ว แต่ถ้าเราไม่ยอมลงมือทำต่อไปให้มันถึงที่สุด ทุกอย่างก็เปล่าประโยชน์ สิ่งนั้นก็จะเป็นสิ่งที่ชอบหรือทำได้เหมือนที่ผ่านๆมา ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรกับเราเลย ถ้าเราอยากทให้ตัวเองมีความสุขหรือตื่นเค้นดับชีวิตมากขึ้นสิ่งที่ต้องทำมากจริงๆคือคิดอะไรก็ทำเลย ลองทำดูจะได้รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง และอย่ายอมแพ้หากมันยังไม่โอเคในสายตาเรา ยิ่งเราสู้และพยายามทำมันให้ดีขึ้นก็จะยิ่งชัดเจนว่ามันใช่สิ่งที่เราจะอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตมั้ย
ฟังดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่งานที่ง่ายแน่นอน การจะตามหาสิ่งที่อยู่ในใจเรามักยากเสมอ ขนาดสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่อยู่ตรงหน้าเราบางทีเรายังบอกไม่ได้เลยว่าชอบหรือไม่ ดังนั้นการจะหา passion ย่อมต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก นอกจากตัวเราแล้ว พ่อแม่ เพื่อน หรือคนรัก ก็เป็นส่วนสำคัญด้วย เพราะเขาเหล่านั้นจะเป็นคนที่คอยซัพพอร์ตเราได้ดีที่สุด เวลาเราเหนื่อย เราท้อ หรือเราต้องการคำชม เขาเหล่านั้นจะเป็นกำลังใจให้เราเสมอ
อย่าง ‘ลิซ่า’ ที่มีคุณพ่อและคุณแม่คอยเป็นกำลังใจให้ มีทักษะทางภาษาที่เป็นต้นทุนที่ดี และการสนับสนุนการเรียนต่างๆก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้ลิซ่าเป็นลิซ่าในทุกวันนี้ เป็นทีรักของใครหลายๆคนและแสดงให้เห็นถึงความพยายามของตัวเองในการวิ่งตาม passion ของตัวเองอย่างดี ทำให้ตัวเองและคนซัพพอร์ตมีความสุขและภูมิใจ
การมีคนสนับสนุนที่ดีก็นับว่ามีต้นทุนที่ดีแล้ว แต่ถ้าหากเราไม่มีก็ไม่เป็นไร อาจต้องพยายามมากหน่อย สิ่งที่เราทำได้คือเป็นคนซัพพอร์ตคนอื่นได้ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนใกล้ตัวหรือไม่ก็ตาม ถ้าเราชอบผลงานใครก็ชมออกไปเลย บอกให้เขาได้รับรู้ว่ายังมีคนที่รอดูอยู่ เท่านี้ก็ได้แล้ว
เขียนโดย Zister (N.thananya)
ที่มา : Big Sister, The matter, The Telegraph,medium