เช้าวันจันทร์ที่ 13 มีนาคมนี้ ตามเวลาประเทศไทย จะมีงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 95 หรือที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘อคาเดมี อวอร์ด 2023’ ในสหรัฐฯ
แม้งานนี้ถือเป็นพิธีมอบรางวัลอันทรงเกียรติมากที่สุดแห่งปีของวงการภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด แต่ผู้จัดงานยอมรับว่า หนึ่งในปัญหาสำคัญ คือ ความนิยมในการชมการถ่ายทอดสดที่ลดลง โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่
ข้อมูลของนีลเส็น บริษัทวัดเรตติ้งทีวีชื่อดัง พบว่า ปี 2022 ที่ผ่านมา มีผู้ชมถ่ายทอดสดออสการ์ ระหว่างที่หนังเรื่อง CODA ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประมาณ 16.6 ล้านคน แต่พอเกิดเรื่องอื้อฉาว พระเอกดัง ‘วิลล์ สมิธ’ ขึ้นไปตบหน้าพิธีกร ‘คริส ร็อค’ กลางเวทีในช่วงท้ายของงาน ยอดคนดูจึงกระเตื้องขึ้นมาเป็นเวลาสั้นๆ แค่ชั่วคราว
สัญญาณเตือนถึงยอดคนดูที่ถดถอย ความจริงแล้วเริ่มมาตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่งานออสการ์มีผู้ชมต่ำกว่า 30 ล้านคน ลดลง 20 เปอร์เซ็นต์ จากปีก่อนหน้า หลังจากนั้นยอดคนดูก็ตกลงมาอีก 37 เปอร์เซ็นต์
นักวิเคราะห์ระบุว่า สาเหตุที่คนดูลดลง ส่วนหนึ่งมาจากเวลาถ่ายทอดสดที่ยาวนานเกินไป บางปีใช้เวลาถึง 4 ชั่วโมง 23 นาที นอกจากนี้ การเกิดขึ้นของโซเชียลมีเดีย ยังทำให้คนไม่จำเป็นต้องดูถ่ายทอดสดเพราะกลัวตกข่าว เนื่องจากสามารถดูคลิปที่เป็นไวรัลย้อนหลังได้
ด้วยเหตุนี้ ผู้จัดงานจึงพยายามหาทางแก้จุดอ่อนต่างๆ โดยงานออสการ์ปีนี้ มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายด้าน Future Trends สรุปมาให้ทราบ ดังนี้
1. เวทีออกแบบให้ดูทันสมัยขึ้น ด้วยการติดตั้งจอทีวีจำนวนมาก เพื่อให้แขกผู้ร่วมงานได้ชมความเคลื่อนไหวของเหล่าคนดังในหลากหลายมุม รวมถึงจอที่ถ่ายทอดภาพมาจากด้านข้างโรงละครซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน และม่านบนเวทีมีการประดับด้วยคริสตัลจาก ‘ชวารอฟสกี้’ อย่างอลังการ
2. ในปี 2022 ที่ผ่านมา งานออสการ์มอบรางวัล 8 สาขา จากทั้งหมด 23 สาขา แบบนอกรอบ ไม่มีการถ่ายทอดสดเพื่อร่นเวลางานไม่ให้นานเกินไป แต่ปีนี้จะกลับมาถ่ายทอดสดทุกรางวัลที่ได้เข้าชิงอีกครั้งเพื่อความเสมอภาค พร้อมกำชับเรื่องการควบคุมเวลาเหมือนเดิม
3. เพื่อให้ผู้ชมมีส่วนร่วมในการถ่ายทอดสด และเข้าใจที่มาที่ไปของรางวัลบางสาขามากขึ้น อาทิ รางวัลมิกซ์เสียง (sound mixing) และรางวัลกำกับศิลป์ (art direction) ก่อนเข้าสู่โฆษณาแต่ละช่วงจะมี ‘คิวอาร์โค้ด’ ขึ้นหน้าจอให้สแกนดูภาพตัวอย่างของผลงานที่ได้เข้าชิงรางวัล รวมถึงรูปภาพและคลิปวิดีโอสั้นๆ ที่บอกเล่าเบื้องหลังของผลงานชิ้นนั้น
4. ผู้จัดออสการ์ในฮอลลีวู้ด จ้างทีมครีเอทีฟของงาน Met Gala ในนิวยอร์ก มาช่วยจัดไฟและแสงสี พร้อมออกแบบงานเดินพรมแดงของเหล่าคนดังใหม่ เพื่อช่วยให้ดารามี ‘ออร่า’ มากขึ้น แม้งานจะเริ่มในช่วงเวลากลางวันก็ตาม
5. ผู้จัดงานเตรียมโพสต์วิดีโอคำกล่าวสุนทรพจน์ของผู้ชนะรางวัลใหญ่ที่สุด 6 สาขาของงานลงบน TikTok และ Facebook ในเวลาเกือบเรียลไทม์พร้อมๆ กับบนเวที ขณะที่ Twitter จะใช้โพสต์ ‘สปีช’ ของผู้ชนะรางวัลทุกสาขาอย่างรวดเร็วเช่นกัน
6. แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งช่อง Disney+ ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดงานออสการ์ไปหลายประเทศของทวีปยุโรปเป็นครั้งแรก เพื่อสร้างฐานแฟนคลับในต่างแดนให้เพิ่มมากขึ้น
7. ผู้จัดงานพยายามสร้างฐานแฟนคลับในหมู่คนรุ่นใหม่ ด้วยการจับมือเป็นหุ้นส่วนทางการตลาดกับแพลตฟอร์มใหม่ๆ อย่าง Letterboxd โซเชียลมีเดียเฉพาะทางของคนรักหนัง ซึ่งมีสมาชิก 8.4 ล้านคน ส่วนใหญ่อายุระหว่าง 18 – 34 ปี
8. ‘รีฮันน่า’ นักร้องสาวชื่อดัง ซึ่งเพิ่งขึ้นโชว์ในช่วงพักครึ่งศึก ‘ซูเปอร์โบวล์ 2023’ มีคิวขึ้นโชว์ผลงานเพลงที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ปีนี้ เช่นเดียวกับ ‘เลนนี่ คราวิตซ์’ ร็อคเกอร์มาดเท่ ก็มีคิวขึ้นแสดงบนเวทีเพื่อเรียกเรตติ้งคนดูเช่นกัน
9. ปีนี้เป็นปีแรกที่หนังซึ่งทำยอดขายตั๋วได้เกิน 1,000 ล้านดอลลาร์ ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดยมาทีเดียว 2 เรื่องพร้อมกัน คือ ‘Top Gun: Maverick’ (1,500 ล้าน) และ ‘Avatar: The Way of Water’ (2,300 ล้าน) ส่วนเต็งหนึ่งรางวัลดังกล่าว คือ ‘Everything Everywhere All at Once’ ที่ทำยอดขายตั๋วได้เพียง 104 ล้านดอลลาร์
“เราไม่เคยต้องทำถึงขั้นนี้มาก่อน เราสามารถทำตัวสบายๆ ด้วยเกียรติยศชื่อเสียงที่มี และปล่อยให้มันพาเราไป”
เจเน็ต หยาง (Janet Yang) ประธานสมาคมภาพยนตร์สหรัฐฯ ผู้จัดงานออสการ์ กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดขึ้นเพื่อดึงความนิยมในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ให้กลับมาอยู่ในความสนใจของคนทั่วไปอีกครั้ง
สำหรับรายได้ของงานออสการ์ปี 2022 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 137.1 ล้านดอลลาร์ สูงกว่ารายจ่ายที่มีทั้งหมด 56.8 ล้านดอลลาร์
โดยหนึ่งในรายได้หลักของงานมาจากค่าโฆษณาระหว่างการถ่ายทอดสด ซึ่งปีที่ผ่านมา ตัวเลขคาดว่าอยู่ที่ 139 ล้านดอลลาร์ ไม่นับรวมงานเดินพรมแดงก่อนเริ่มพิธีมอบรางวัล ซึ่งมีรายได้เพิ่มเข้ามาอีก 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เขียนโดย Phanuwat Auaudomchaisakun
Source: http://bit.ly/3JtID7A