[Technology] กล่อง Netflix เคยมีอยู่จริง!! กับโปรเจกต์ Griffin กล่องรับสัญญาณ Netflix ที่ทำเสร็จพร้อมจำหน่าย กับการตัดสินใจยกเลิกวางขาย เพราะไม่อยากเป็นศัตรูกับบริษัทใหญ่

Share

ย้อนกลับไปเมื่อ 16 ปีก่อน ช่วงปลายปี 2007 ยักษ์ใหญ่แห่งวงการสตรีมมิ่งอย่างเนตฟลิกซ์เกือบจะก้าวข้ามผ่านจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ที่อาจส่งผลให้ทิศทางธุรกิจของพวกเขาแตกต่างจากทุกวันนี้ไปโดยสิ้นเชิง

ชื่อของความเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นคือ “Project Griffin” โปรเจคลับที่ถูกปิดตายมานาน ก่อนจะถูกเปิดเผยสู่สาธารณะในที่สุด

[โปรเจค “กริฟฟิน” กับความฝันที่จะปฏิวัติวงการสตรีมมิ่ง]

ในช่วงเวลานั้น เนตฟลิกซ์ภายใต้การนำของซีอีโอ รี้ด แฮสติงส์ (Reed Hastings) มีแผนการในการสร้างอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ของตัวเอง

ซึ่งจะเป็นกล่องรับสัญญาณที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถสตรีมภาพยนตร์และซีรีส์จากแคตตาล็อกออนไลน์ของเนตฟลิกซ์ไปเล่นบนจอทีวีได้โดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์จากบริษัทอื่นอีกต่อไป

ทีมงานกว่า 20 ชีวิตของ Project Griffin ซึ่งนำโดย แอนโธนี วู้ด (Anthony Wood) ผู้ก่อตั้งบริษัท Roku ต่างทุ่มเทแรงกายแรงใจกับโปรเจคนี้อย่างหนัก พวกเขาใช้เวลาหลายปีในการพัฒนา ตั้งแต่การออกแบบดีไซน์ตัวเครื่อง ไปจนถึงการปรับแต่งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ให้ลงตัว มีการร่วมมือกับ Frog Design สตูดิโอดีไซน์ชื่อดัง

รวมไปถึงเคยมีไอเดียที่จะย้อมตัวเครื่องเป็นสีแดง เพื่อให้เข้ากับโลโก้ซองจดหมายสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของเนตฟลิกซ์ด้วย

ทั้งกระบวนการทดสอบทางวิศวกรรม การออกแบบ และการตรวจสอบความพร้อมทางการผลิต ต่างผ่านพ้นไปด้วยดี ทุกอย่างดูเหมือนพร้อมสมบูรณ์สำหรับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม 2007 มีการวางแผนโฆษณาและกลยุทธ์การตลาดรองรับอย่างดี พนักงานทั้งบริษัทต่างตื่นเต้นกับอนาคตอันสดใสที่รออยู่ข้างหน้า The Netflix Player ใกล้จะได้ออกสู่ตลาดเต็มที่

แต่แล้ว เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น…

[รี้ด แฮสติงส์ เจ้าพ่อเนตฟลิกซ์ ตัดสินใจยกเลิกโปรเจกต์]

เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนกำหนดการเปิดตัว รี้ด แฮสติงส์ ซีอีโอผู้มีอำนาจสูงสุดของเนตฟลิกซ์กลับตัดสินใจครั้งสำคัญ ซึ่งส่งผลให้โครงการ Project Griffin ที่กำลังจะแล่นออกจากอู่ต้องหยุดชะงักลงทันที คำสั่งที่ว่านั้นคือ “ยกเลิก”

เหตุผลของการตัดสินใจครั้งนี้นั้นชัดเจนและเด็ดขาด แฮสติงส์มองว่าการลงทุนผลิตฮาร์ดแวร์เป็นของตัวเองนั้น จะทำให้เนตฟลิกซ์กลายเป็นคู่แข่งโดยตรงกับบรรดาบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์รับสัญญาณรายอื่นๆ ซึ่งควรจะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจมากกว่า ประโยคอมตะของเขาที่หลายคนยังจดจำได้ดีคือ

“ผมอยากจะโทรไปหาสตีฟ จ็อบส์ และคุยเรื่องการนำเนตฟลิกซ์ไปใส่ใน Apple TV แต่ถ้าเรากำลังสร้างฮาร์ดแวร์ของตัวเอง สตีฟคงไม่รับสายผมแน่”

ทีมงาน Project Griffin ต่างรู้สึกตกใจและผิดหวังกับคำสั่งที่ห้าวหาญครั้งนี้ของแฮสติงส์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แอนโธนี วู้ด หัวหน้าโปรเจค ที่เห็นความพยายามและความฝันของทีมงานที่ทุ่มเทมาตลอดหลายปีพังทลายลงในพริบตา แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครคัดค้านคำตัดสินของซีอีโอ

[เนตฟลิกซ์เลือกเป็นแพลตฟอร์มกลาง และร่วมมือกับทุกค่าย]

การเลือกไม่ยุ่งเกี่ยวกับการผลิตฮาร์ดแวร์ ทำให้เนตฟลิกซ์สามารถรักษาความเป็นกลางและความเป็นมิตรไว้ได้กับเหล่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลก ทำให้พวกเขาสามารถร่วมมือกับแพลตฟอร์มและอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต สมาร์ททีวี หรือแม้แต่เครื่องเล่นเกมคอนโซล

การตัดสินใจในครั้งนั้นส่งผลชัดเจนในปัจจุบัน เมื่อแอปของเนตฟลิกซ์พร้อมให้บริการบนอุปกรณ์ทุกหย่อมหญ้า เข้าถึงผู้ชมได้ทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้เขากลายเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดบริการสตรีมมิ่งออนไลน์แบบจ่ายเงินรายเดือน ปูทางสู่ความเป็นจ้าวโลกแห่งวงการโทรทัศน์ยุคใหม่อย่างเต็มตัว

[Project Griffin ถูกส่งต่อให้ Roku แต่ไม่ประสบความสำเร็จ]

แม้จะถูกเนตฟลิกซ์ถอดใจ แต่โปรเจค Project Griffin ก็ยังมีลมหายใจต่อ เมื่อมันถูกส่งต่อให้กับบริษัท Roku ภายใต้การดูแลของ แอนโธนี วู้ด ซึ่งแยกตัวออกมาตั้งบริษัทใหม่

Roku เปิดตัวกล่องรับสัญญาณในชื่อ “Roku Netflix Player” ตามแผนที่วางไว้ในช่วงกลางปี 2008 แต่ปรากฏว่ามันไม่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีนัก ทำให้มียอดขายต่ำกว่าเป้าหมาย ด้วยข้อจำกัดด้านความสามารถของตัวเครื่อง และการตลาดที่ทำได้ไม่ดีพอ

แอนโธนี วู้ด ยอมรับในเวลาต่อมาว่า รี้ด แฮสติงส์ เจ้านายเก่าของเขาตัดสินใจได้ถูกต้องที่เลือกไม่ทำฮาร์ดแวร์เองตั้งแต่แรก ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น มันอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจคอนเทนต์ซึ่งเป็นรายได้หลักของเนตฟลิกซ์ได้ ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น การตัดสินใจครั้งนี้ยังช่วยผลักดันให้เนตฟลิกซ์ไปถึงจุดสูงสุดได้ในที่สุด

หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 16 ปีที่แล้ว คงไม่มีใครคาดคิดว่า เนตฟลิกซ์จะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการบันเทิงโลกดิจิทัลเช่นในปัจจุบัน การตัดสินใจพับ Project Griffin ที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเลวร้ายในตอนนั้น กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำพาให้เนตฟลิกซ์ไปถึงจุดสูงสุดในเวลาต่อมา มันเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ หากเราเรียนรู้และปรับตัวได้ทันเวลา

เขียนโดย : ภคณัฐ ทาริยะวงศ์

—-

Source:

Inside Netflix’s Project Griffin: The Forgotten History Of Roku Under Reed Hastings

How Netflix built its own set-top box, and why Reed Hastings wouldn’t release it