การอกหักทำให้เราเจ็บปวด แต่เราคือสาเหตุที่แท้จริงหรือเปล่า? เพราะบางครั้ง การถูกปฏิเสธอาจจะไม่เกี่ยวกับเราเลยก็ได้นะ

Share

ในช่วงเวลาชีวิตของเราต้องมีสักครั้งที่ถูก ‘ปฏิเสธ’ เพราะเหตุใดกัน เราไม่ดีพออย่างนั้นหรือ บางครั้งการถูกปฏิเสธไม่ได้มาจากฝ่ายเดียว หมายความว่าไม่จำเป็นเสมอไปว่าคุณจะต้องทำผิดถึงจะถูกปฏิเสธ ปัจจัยมันมากเกินไปไม่สามารถคาดคะเนได้ว่าเราจะถูกปฏิเสธด้วยสาเหตุอะไร

แต่วิธีรับมือคือ การยอมรับว่าเรากำลังถูกปฏิเสธ วันนี้ Future Trends จะมานำเสนอเรื่องราวของ TED-Ed ที่พูดถึงการถูกปฏิเสธในชีวิต ในบางทีเราไม่ใช่ต้นเหตุของการถูกปฏิเสธเสมอไป อยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรสามารถลงไปอ่านได้เลย

[ คุณกำลังถูกปฏิเสธอยู่หรือเปล่า? ]

การถูกปฏิเสธทำให้เจ็บปวด มันเจ็บปวดอย่างเหลือเชื่อที่รู้สึกเหมือนไม่มีใครต้องการ การศึกษา fMRI (Functional magnetic resonance imaging วิธีวัดการทำงานของสมอง โดยจับความเปลี่ยนแปลงของการเดินโลหิตที่สัมพันธ์กัน) 

พบว่าการปฏิเสธกระตุ้นการทำงานของสมองในบริเวณประสาทหลายแห่งที่ประมวลผลความเจ็บปวดทางร่างกาย และภาษาที่เราใช้เพื่ออธิบายการปฏิเสธก็สะท้อนถึงประสบการณ์นี้ นักวิจัยได้บันทึกภาษาต่างๆ กว่าสิบภาษาที่เกี่ยวข้องกับการถูกปฏิเสธจากการถูกทำร้าย โดยใช้คำอย่างเช่น “Heartbroken” หรือ “อกหัก”

เหตุใดการถูกปฏิเสธจึงกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองที่รุนแรงเช่นนี้ และมีวิธีใดบ้างที่จะรับมือกับความเจ็บปวด นักจิตวิทยามักอธิบายการปฏิเสธว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเรารับรู้ว่าคนอื่นไม่เห็นค่าของการมีสายสัมพันธ์ทางสังคมกับเรา สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นเมื่อเราถูกคนรักทอดทิ้ง ถูกแยกออกจากกลุ่ม หรือถูกเลือกปฏิบัติโดยสิ้นเชิง

แต่การถูกปฏิเสธระหว่างบุคคลเหล่านี้มีองค์ประกอบทางสังคมที่ทำให้พวกเขาแตกต่างจากการไม่ได้งาน จากประสบการณ์เหล่านี้ เรารับรู้ว่าฝ่ายที่ปฏิเสธประเมินค่าความสัมพันธ์ของเราต่ำเกินไป และในขณะที่ความเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธมักจะเพิ่มขึ้น ยิ่งเราให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มากขึ้น แม้แต่การปฏิเสธจากญาติที่ไม่รู้จักก็สามารถทำร้ายความรู้สึกของเราได้

นี่อาจดูเหมือนเป็นปฏิกิริยาที่มากเกินไป แต่เช่นเดียวกันกับความเจ็บปวดทางร่างกายเตือนเราเกี่ยวกับการรับรู้ถึงภัยคุกคามต่อความเป็นอยู่ที่ดีทางร่างกาย ความรู้สึกเจ็บปวดเตือนเราเกี่ยวกับการรับรู้ถึงภัยคุกคามต่อความเป็นอยู่ทางสังคมของเรา นักจิตวิทยาด้านพฤติกรรมบางคนโต้แย้งว่าระบบเตือนนี้พัฒนาขึ้นเมื่อบรรพบุรุษยุคก่อนประวัติศาสตร์ของเราอาศัยอยู่ในกลุ่มเล็กๆ และพึ่งพาทุกคนที่พวกเขารู้จักเพื่อความอยู่รอด

มนุษย์เหล่านี้อาจพัฒนาจนรับรู้ว่าการปฏิเสธจากใครก็ตามเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของพวกเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะยืนยันทฤษฎีวิวัฒนาการประเภทนี้ แต่ไม่ว่าระบบเตือนนี้จะมาจากไหน จะไม่มีคำแนะนำสำหรับวิธีดำเนินการกับประสบการณ์ทางอารมณ์ที่รุนแรงนี้ ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณรู้สึกว่าถูกปฏิเสธ ให้ลองถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้

[ พิจารณาต้นเหตุของการถูกปฏิเสธ ]

สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาคือความสัมพันธ์ของคุณกับคนที่ปฏิเสธคุณ เขาคือคนที่คุณรู้จักเป็นอย่างดี หรือเป็นแค่คนรู้จักเฉยๆ หากเป็นอย่างหลัง นั่นอาจช่วยให้คุณตอบคำถามที่สองได้ 

การปฏิเสธนี้สำคัญจริงหรือ อาจรู้สึกเจ็บใจเมื่อคนแปลกหน้าไม่หัวเราะเยาะมุกตลกของคุณ แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะโต้ตอบอย่างรุนแรงต่อการปฏิเสธที่มีผลกระทบต่อชีวิตของคุณเพียงเล็กน้อย

แน่นอน การปฏิเสธแม้เพียงเล็กน้อยนั้นพูดง่ายกว่าทำ เนื่องจากวิธีที่คุณรับรู้ตัวเองก็มีส่วนในสมการนี้ด้วย คุณอาจรู้สึกมั่นใจในบางสถานการณ์มากกว่าสถานการณ์อื่นๆ และผู้คนมักอ่อนไหวเป็นพิเศษต่อการถูกปฏิเสธในสถานการณ์ที่พวกเขามีความคิดเห็นต่ำเกี่ยวกับตนเอง

มากถึงขนาดที่พวกเขามีแนวโน้มที่จะตีความปฏิกิริยาที่เป็นกลางของคนอื่นผิดว่าเป็นการปฏิเสธ นี่คือเหตุผลว่าทำไมการทบทวนมุมมองของตนเอง และถามตัวเองว่าอีกฝ่ายกำลังปฏิเสธคุณจริง ๆ จะเป็นประโยชน์หรือไม่ นี่อาจดูเหมือนเป็นคำถามที่แปลก แต่คุณอาจพบว่าแม้อีกฝ่ายไม่ได้ปฏิบัติต่อคุณอย่างที่คุณต้องการ แต่พวกเขาก็ยังให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของคุณ

ในบางกรณี การยอมรับว่าตนเองต้องการการยอมรับมากเกินกว่าเหตุก็ส่งผลดีต่อเราเองเช่นกัน แต่ถ้าหากคุณย้อนถามตัวเองหาสาเหตุของการถูกปฏิเสธแล้ว แต่ความคิดของคุณก็ยังบอกว่ามันเป็นความผิดของคนรอบข้าง มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดในการโดนทอดทิ้ง แต่เราอยากจะฝาก 2 สิ่งไว้เตือนใจคุณ

[ เมื่อรู้สึกเจ็บปวดจากการโดนปฏิเสธ ลองนึกถึง 2 สิ่งนี้ไว้ ]

สิ่งแรก การปฏิเสธนี้ไม่ได้มีผลมาจากคุณเพียงคนเดียว มันเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย บางทีมันก็ไม่มีความสมเหตุสมผล เพียงแค่อีกฝ่ายต้องการบางอย่างที่แตกต่างจากความสัมพันธ์ของคุณ และสิ่งที่พวกเขาต้องการอาจไม่มีเหตุผล ไม่ยุติธรรม หรือไม่ใช่สิ่งที่คุณสามารถมอบให้ได้ มันไม่ใช่ความผิดคุณเลย

สิ่งที่สอง การปฏิเสธของพวกเขาไม่ใช่ข้อพิสูจน์ว่าคุณมีบางอย่างผิดปกติ หรือ คุณเป็นคนผิดในความสัมพันธ์นี้ ความเจ็บปวดที่คุณรู้สึกเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบที่กระตุ้นให้คุณนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล มันไม่ใช่ความผิดของคุณ จงเข้าใจ และใช่ชีวิตต่อไป

[ ท้ายที่สุดนี้ ]

การไตร่ตรองถึงพฤติกรรมของคุณ คุณจะพบเบาะแสที่จะช่วยให้เข้าใจการปฏิเสธได้ดีขึ้น และคิดอย่างมีวิจารณญาณเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่คุณต้องการมีกับบุคคลนี้ ทุกความสัมพันธ์และการปฏิเสธนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ไม่ว่าจะเจาะจงอย่างไร สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าคุณไม่ใช่คนเดียวที่โดนปฏิเสธ

ทุกคนรับมือกับการถูกปฏิเสธมาตลอดชีวิต แม้แต่คนที่ดูเหมือนมั่นใจในตัวเองก็ต้องเคยถูกปฏิเสธมาบ้าง และหนึ่งในวิธีที่พบได้บ่อยที่สุดในการรับมือกับประสบการณ์อันเลวร้ายที่เป็นสากลนี้ คือการติดต่อกับผู้คนที่เขายอมรับในตัวคุณโดยที่คุณไม่ต้องพยายามอะไร จะเป็นเพื่อนสนิท ครอบครัว สัตว์เลี้ยง ก็ได้ทั้งนั้น

เขียนโดย ธนพนธ์ หัสกรรัตน์

หมายเหตุ! บทความนี้ดัดแปลงมาจาก ‘How to deal with rejection’ โดย TED-Ed แพลตฟอร์มที่เผยแพร่เรื่องราวโดยเฉพาะการศึกษา มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาตัวเองของเด็ก และคุณครู เรื่องราวส่วนมากจึงเป็นเรื่องพื้นฐานในการใช้ชีวิตประจำวันซึ่งสามารถปรับใช้ได้กับผู้อ่านทุกวัย

Source: https://www.youtube.com/watch?v=KO6bbZOc2B4&ab_channel=TED-Ed