คงจะไม่เป็นการพูดเกินจริงไปสักเท่าไร หากจะบอกว่า สำหรับหลายๆ คนแล้ว ชีวิตวัยผู้ใหญ่ไม่ได้ง่ายเหมือนในนิทานหรือละครที่มักจะสวยหรู เต็มไปด้วยความสุข สมหวัง
แม้หน้าฟีด How-to ตามอินเทอร์เน็ต หรือไลฟ์โค้ชจะคอยพร่ำบอกว่า ต้องมี Growth Mindset ต้องก้าวหน้า ต้องเติบโต ต้องอยากรวยอยู่บ่อยๆ ทว่า ในความเป็นจริง หัวใจของความสำเร็จก็ไม่ได้มีเพียงความขยันบากบั่นเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีต้นทุนทางชีวิตเข้าอย่าง Life Capital เข้ามาเกี่ยวด้วย
ซึ่งจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปทุกวันนี้ก็พลอยทำให้วิถีชีวิต และหมุดหมายของคนจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ยกตัวอย่างเช่น แนวคิดการใช้ชีวิตแบบไม่หวังรวย ไม่หวังก้าวหน้าหรือที่เรียกว่า ‘Satori Generation’
Satori Generation คือคำศัพท์ที่ใช้เรียกวัยรุ่นในญี่ปุ่นที่หันหลังให้กับเป้าหมายในชีวิต เนื่องจากรู้สึกเบื่อหน่ายกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และสภาพสังคมที่มีความกดดัน ความคาดหวังที่สูงลิ่ว
โดยคนกลุ่มนี้จะเน้นใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดอยากจะรวย เก่ง เติบโต หรือก้าวหน้า จดจ่ออยู่กับปัจจุบันมากกว่าความฝันอันยิ่งใหญ่ในอนาคตที่ไม่แน่นอน หลีกเลี่ยงความคาดหวังที่สูงเกินไป และไร้เหตุผล รวมไปถึงก็ไม่ชอบสูญเสียพลังงานไปกับการเถียงกับคนอื่นด้วย
คล้ายกับ Frugality เทรนด์ยอมเงินเดือนน้อยลงแลกกับเวลาชีวิตที่มากขึ้น ตรงที่พวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบประหยัด อย่างเช่น การเลือกทำงานพาร์ตไทม์ (Part-time) ประทังชีวิตไปวันๆ แตกต่างจากคนรุ่นก่อนที่อุทิศตัวเองให้กับการทำงานอย่างหนัก เลือกทำงานที่ได้เงินเยอะกว่า และมีความมั่นคงมากกว่านั่นเอง
บทความเรื่อง ‘Japan’s Gen Z — 5 Points about the Enlightened ‘Satori Generation’ อธิบายว่า หลักๆ แล้ว Satori Generation มีจุดร่วมอยู่ประมาณ 4 ข้อด้วยกัน ข้อแรกคือ ‘การยอมรับความหลากหลายทางเพศ’ ไม่ตีตราตัดสินบุคคลจากภายนอก ข้อที่สองคือ ‘ความคุ้มค่า’ เวลาจะเลือกซื้อสิ่งต่างๆ พวกเขาจะให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพ มองที่ Balance ของต้นทุนกับความทนทานเป็นสำคัญ ไม่ได้มองที่ชื่อเสียงหรือแบรนด์แต่อย่างใด
ส่วนข้อที่สามคือ ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคม อยากมีส่วนร่วมสนับสนุนผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นความเท่าเทียม การล่วงละเมิดทางเพศ หรือแม้กระทั่งทัศนคติที่ดีต่อรูปลักษณ์ก็เช่นกัน
และข้อที่สี่คือ Satori Generation ให้ความสำคัญกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรือความโรแมนติกอันหวานชื่นอย่างการออกเดตน้อยลง โดยผลการศึกษาหนึ่งระบุว่า 40 เปอร์เซ็นต์บอกว่า พวกเขาให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นอันแรก ถ้าไม่พบคนที่ใช่จริงๆ ก็ขออยู่เป็นโสดตลอดไป อีกทั้งก็ยังสนิทกับคนรุ่นพ่อ-แม่มากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ ด้วย
แม้ความขยันจะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ แต่อย่างที่รู้กันว่า ชีวิตคนเรามักจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ไม่มีใครตอบได้หรอกว่า เราจะมีลมหายใจ ได้อยู่กับคนที่รักไปจนถึงวันไหน เพราะฉะนั้น วลีสุดคลาสสิกอย่าง “ลำบากในวันนี้ สบายในวันหน้า” ก็อาจจะไม่มีอยู่จริงก็เป็นได้…
แล้วคุณล่ะคิดยังไงกับเรื่องนี้? มาแชร์ในคอมเมนต์กัน!
Sources: https://bit.ly/3Ue2wT0