พลังวิเศษในความทรงจำของทุกคนคืออะไร?
การเดินทางข้ามเวลา?
การล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคต?
การอ่านใจ?
เชื่อว่า ตอนเด็กๆ เวลาที่เราดูการ์ตูน หรือภาพยนตร์ไซไฟ แล้วเห็นตัวเอกของเรื่องปล่อยพลังพิเศษออกมา เพื่อต่อกรกับเหล่าวายร้าย ก็ทำให้เราอยากมีพลังพิเศษเหล่านั้นบ้าง พอยิ่งโตขึ้นมา ยิ่งได้สัมผัสกับรสชาติของความเป็นผู้ใหญ่ที่สุดขมจนเกินจะรับไหว ก็ยิ่งหวนนึกถึงพลังวิเศษในความทรงจำ และอยากทำให้มันเกิดขึ้นจริง ด้วยความหวังที่ว่า ‘มันจะทำให้ชีวิตของเราดีกว่าที่เคย’
ซึ่งหนึ่งในพลังวิเศษสุดฮอตที่หลายๆ คนอยากมีในชีวิตจริง คงหนีไม่พ้น ‘การอ่านใจ’ อย่างแน่นอน เพราะเป็นพลังวิเศษที่มีประโยชน์ต่อชีวิตส่วนตัวและการทำงาน ลองจินตนาการเล่นๆ ว่า ถ้าเราอ่านใจคนได้ การเข้าสังคมและการผูกมิตรกับคนที่เราชื่นชอบ คงทำได้ง่ายขึ้นมากๆ หรือในมุมของการทำงาน เราอาจจะรับรู้ความต้องการของลูกค้าตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้คุยกัน เพียงเพราะแค่มีพลังในการอ่านใจก็เป็นได้
และในที่สุด พลังวิเศษอย่างการอ่านใจก็ไม่ได้เป็นเพียงความฝันอีกต่อไป เพราะทีมนักวิจัยหลายต่อหลายทีม ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับวิธีการอ่านใจ เพื่อพัฒนาเป็น ‘เครื่องอ่านใจ’ ออกมา โดยในยุคแรก ตัวเครื่องจะมีลักษณะเหมือนหมวกครอบหัว ที่มีเซนเซอร์คอยตรวจจับการทำงานของสื่อนำประสาทในสมอง แล้ววิเคราะห์ผลเป็นความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ ซึ่งใครที่เป็นแฟนหนังย้อนยุค คงเคยเห็นเจ้าหมวกหน้าตาแบบนี้ จากในภาพยนตร์ไซไฟชื่อดังอย่าง ‘เจาะเวลาหาอดีต’ (Back to the Future) มาอย่างแน่นอน
ต่อมาเริ่มมีแนวคิดที่จะเจาะสมองของมนุษย์ แล้วฝังชิปลงไปในสมอง เพื่อเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ และทำการประมวลผลถึงสิ่งที่แต่ละคนกำลังคิดอยู่ภายในใจ แต่ฟังดูแล้ว ก็ยังเป็นวิธีที่มีการรุกล้ำร่างกายของมนุษย์เกินความจำเป็น และการฝังชิปลงไปในสมอง จะทำให้มนุษย์ถูกควบคุมให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือเปล่า?
แล้วถ้านักวิจัยทำให้พลังวิเศษแบบ ‘การอ่านใจ’ เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ มันจะเปลี่ยนชีวิตของเราในอนาคตไปในทางที่ดีขึ้นอย่างไร?
[ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน พร้อมพัฒนาคุณภาพจิตใจของชาวออฟฟิศ ]
สำหรับชาวออฟฟิศที่กำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับการทำงานมากมาย การมาของเครื่องอ่านใจอาจจะช่วยให้ปัญหาหลายๆ อย่างคลี่คลายลงไปได้ ในมุมของหัวหน้าทีม ก็คงทำให้เข้าใจการทำงานของลูกทีมมากขึ้น ในวันที่ลูกทีมมีสภาพจิตใจไม่พร้อมกับการทำงาน เพราะเพิ่งไปเผชิญกับเหตุการณ์บางอย่างมา หัวหน้าทีมก็จะสามารถหาวิธีรับมือได้อย่างเหมาะสม
หรือในมุมของลูกทีมเอง ก็คงช่วยให้เข้าใจแนวทางและวิสัยทัศน์การทำงานของหัวหน้าทีมมากขึ้น รวมถึง ช่วยตัดปัญหาความเข้าใจไม่ตรงกัน จากการสื่อสารผิดพลาดภายในทีมไปได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่า การรับรู้ความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามเป็นสิ่งที่ดี แต่ท้ายที่สุดแล้ว แต่ละคนยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘สิทธิส่วนบุคคล’ อยู่ การที่รู้มากเกินไป ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก ในเมื่อการรับรู้ที่ดี คือการรับรู้อย่างมีขอบเขต การจะนำเครื่องอ่านใจมาใช้จริง คงต้องคำนึงถึงประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน
[ หมดปัญหาทำสินค้าออกมาขาย แต่ขายไม่ออก เพราะไม่ตรงใจลูกค้า ]
สิ่งนี้ คงจะเป็นปัญหาโลกแตกใครหลายๆ คนที่เริ่มทำธุรกิจได้ไม่นาน แล้วยังจับทิศทางของตลาดไม่ได้ หรือแม้แต่คนที่ทำธุรกิจมานานแล้วก็ตาม ซึ่งมันจะดีกว่าไหม ถ้าเราสามารถอ่านใจกลุ่มเป้าหมายของตัวเองได้ และนำข้อมูลความต้องการเหล่านั้น มาใช้เป็นแนวทางในการผลิตสินค้าของแบรนด์?
โดยปกติแล้ว กว่าจะได้สินค้าออกมาวางจำหน่ายในตลาดสักชิ้นนั้น มีขั้นตอนมากมาย ตั้งแต่การสำรวจตลาด การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้า การคิดค้นสินค้า การทดสอบสินค้าก่อนวางจำหน่าย และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งแต่ละขั้นตอนก็ใช้ทั้งเวลาและเงินจำนวนมาก โดยที่ไม่สามารถการันตีความสำเร็จในอนาคตได้เลย
จริงๆ แล้ว การอ่านใจกลุ่มเป้าหมายได้ด้วยเครื่องอ่านใจ อาจจะทำให้ผู้ประกอบการได้ข้อมูลที่ครบถ้วนในเวลาอันรวดเร็ว แต่วิธีการนี้ ก็ยังเป็นประเด็นที่ต้องตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ ‘จริยธรรม’ ของการได้มาซึ่งข้อมูลด้วยเหมือนกัน รวมถึงมันจะเป็นวิธีที่มีความคุ้มค่าในระยะยาวจริงๆ หรือเปล่า?
[ คุณภาพชีวิตของผู้พิการจะดีขึ้น เพราะเครื่องอ่านใจจะกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้พวกเขาสามารถขยับร่างกายได้ตามใจชอบ ]
ประเด็นนี้ เป็นประเด็นที่เห็นได้ชัดในสังคมไทยมากๆ มีผู้พิการจำนวนไม่น้อยที่ต้องถูกตัดโอกาสในการใช้ชีวิตแบบปกติ เพราะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ถูกออกแบบตามหลักอารยสถาปัตย์ (Universal Design หรือ UD) มากนัก อย่างทางเท้าสูงๆ ที่ลำพังคนธรรมดายังเดินสะดุดเลยในบางครั้ง ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้ผู้พิการใช้ชีวิตลำบากขึ้นไปอีก
หน้าที่ของเครื่องอ่านใจในกรณีนี้ ไม่ได้ช่วยให้เข้าใจความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามเหมือนกับอีก 2 กรณี ที่ได้กล่าวไปในข้างต้น แต่ทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวกลางในการเชื่อมต่อการทำงานของสมองกับการเคลื่อนไหวร่างกายแทน กล่าวคือเครื่องอ่านใจจะทำให้สมองกับร่างกายที่ถูกตัดขาดกันไป กลับมาเชื่อมต่อกันอีกครั้ง จนสมองสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ตามปกติ
โดยในตอนนี้ ทีมนักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (California Institute of Technology หรือ Caltech) ได้พัฒนาสิ่งที่เรียกว่า Brain-Computer Interface (BCI) ขึ้นมา และจากการทดลองใช้จริงในการควบคุมการเคลื่อนไหวของผู้พิการ ก็ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ จนคาดว่าอาจจะมีข่าวดีเกี่ยวกับการนำไปใช้งานจริงในเร็วๆ นี้
ไม่ว่าในอนาคต จะมีการพัฒนาเครื่องอ่านใจให้ใช้งานง่ายขนาดไหน หรืออาจกลายเป็นเพียงแอปพลิเคชันที่ใครๆ ก็สามารถใช้งานได้บนสมาร์ตโฟนของตัวเอง แต่หัวใจสำคัญที่สุดของการใช้เครื่องอ่านใจเลยก็คือ ‘การมีจริยธรรม’ ในการรับรู้ความรู้สึกของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งรวมถึงการรับรู้อย่างมีขอบเขต และการไม่นำข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง
โดยประเด็นนี้ ยังคงเป็นความท้าทายของนักวิจัยในการพัฒนาเครื่องอ่านใจให้เป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ แต่ก็ไม่รุกล้ำสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นในเวลาเดียวกันด้วย
Sources: https://bit.ly/3OCkbBE
https://bit.ly/3KfA39H
https://bit.ly/3Mz07hL