‘Luna’
‘UST’
‘โด ควอน’ (Do Kwon)
’Stablecoin’
เชื่อว่า เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คำเหล่านี้ คงเป็นคำที่ได้ยินกันจนชินหู จากที่เคยเป็นคำศัพท์เฉพาะในวงการคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ก็ถูกสื่อต่างๆ ขยายความออกมาจนกลายเป็นคำที่เริ่มรู้จักกันในวงกว้าง รวมถึงยังเป็นคีย์เวิร์ดที่ใครๆ ต่างก็เสิร์ชกัน จนกูเกิล เทรนด์ (Google Trends) จัดอันดับคำเหล่านี้ เป็นคีย์เวิร์ด ‘ดาวรุ่งพุ่งแรง’ ไปแล้ว
อย่างที่ทุกคนเห็นชื่อหัวข้อกันไปแล้วว่า วันนี้ เราจะมาพูดคุยเกี่ยวกับอนาคตของ ‘Stablecoin’ กัน เพื่อเป็นการเพิ่มอรรถรสในการอ่านบทความนี้ เราขอพาทุกไปรู้จักความหมายของ Stablecoin กันก่อน
Stablecoin คืออะไร? ทำไมต้องมีคำว่า ’stable’ อยู่ในชื่อ?
Stablecoin มีความหมายตรงตัวตามชื่อเลย นั่นก็คือ ‘เหรียญที่มีความเสถียร’ ซึ่งความเสถียรที่ว่า เกิดจากตรึงมูลค่าเข้ากับสินทรัพย์ หรือสกุลเงินต่างๆ และที่นิยมใช้กันมากที่สุด คือการตรึงเข้ากับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ แล้วทำให้มูลค่าของเหรียญ 1 เหรียญ เท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ไปโดยปริยาย โดยการตรึงมูลค่าของเหรียญนั้น สามารถทำได้หลายวิธี ตั้งแต่ตรึงด้วยเหรียญคริปโทฯ ด้วยกัน ไปจนถึงตรึงด้วยอัลกอริทึมบนบล็อกเชน (Blockchain)
จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่ Stablecoin จากเทอราฟอร์ม แล็บส์ (Terraform Labs) หวิดจะล่มสลาย
วันที่ 10 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ถือเป็นวันแห่งความวุ่นวายในตลาดคริปโทฯ เพราะราคาของเหรียญเกือบทั้งหมดดิ่งลงจนทำให้นักลงทุนใจหายใจคว่ำไปตามๆ กัน และเมื่อทำการสืบสาวราวเรื่องลึกลงไป ก็พบว่า มีความเกี่ยวโยงกับการที่เหรียญ UST ที่เป็น Stablecoin จาก ‘เทอราฟอร์ม แล็บส์’ ที่ก่อตั้งโดย ‘โด ควอน’ ชายหนุ่มชาวเกาหลีใต้วัย 31 ปี ถูกโจมตีจากผู้ไม่หวังดีที่หวังโกยกำไรในตลาดคริปโทฯ จนเหลือมูลค่าราวๆ 0.65 ดอลลาร์สหรัฐ และไม่เสถียรหรือ ’stable’ ตามชื่ออีกต่อไป
เมื่อเวลาผ่านไป เหรียญอื่นๆ ในตลาดเริ่มทยอยฟื้นตัว แต่เหรียญภายใต้การดูแลของเทอราฟอร์ม แล็บส์อย่างลูน่า (Luna) และ UST กลับดูไม่มีวี่แววที่จะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้เลย มิหนำซ้ำ ราคาของเหรียญทั้งสองยังแตะที่ศูนย์ จนแทบไม่มีมูลค่าใดๆ เหลืออยู่แล้ว ไม่ว่า ควอนจะพยายามยื้อชีวิตของเหรียญทั้งสองด้วยวิธีการใด กลับยิ่งทำให้ปัญหาบานปลาย และผลลัพธ์ก็ยิ่งแย่ลงทุกที
จนในที่สุด ควอนได้ออกมาประกาศถึงก้าวต่อไปของเทอราฟอร์ม แล็บส์ ผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัว โดยมีใจความสำคัญว่า เขาจะทำการคัดลอกโค้ดจากบล็อกเชนเดิม แล้วสร้างมันขึ้นมาใหม่ เพื่อทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาอีกครั้ง ฟังดูเป็นสัญญาณที่ดีว่า เหรียญทั้งสองอาจจะฟื้นตัวกลับมาได้ในอนาคต แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เหตุการณ์นี้ ก็ได้สร้างบาดแผลขนาดใหญ่ให้กับวงการคริปโทฯ โดยเฉพาะกับเหรียญในกลุ่ม Stablecoin ด้วยกันไปแล้ว
ดังนั้น เราจะมาวิเคราะห์กันว่า จากเหตุการณ์นี้ จะทำให้อนาคตของเหรียญอื่นๆ ในกลุ่ม Stablecoin ยังสดใสไปต่อได้ หรือดับวูบจนหมดสิ้นกันแน่?
Stablecoin กับอนาคตที่สดใส
อย่างที่กล่าวไปตอนแรกว่า Stablecoin แต่ละเหรียญมีวิธีการตรึงมูลค่า และการค้ำประกันด้วยสินทรัพย์ที่ต่างกัน ต่อให้เหรียญชนิดหนึ่งจะถูกโจมตี แต่เหรียญอีกชนิดหนึ่งก็จะรอดจากการถูกโจมตีไปได้ หรือต่อให้ได้รับผลกระทบร่วมกัน มันอาจจะเป็นเพียงผลกระทบอันน้อยนิดที่ผ่านเข้ามาแล้วเดี๋ยวก็ผ่านไป
.
ดังนั้น เราอาจกล่าวได้ว่า ทั้งลูน่าและ UST คงไม่ได้มีอนาคตที่สดใสในเร็ววันนี้แน่นอน แต่กับ Stablecoin อื่นไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะ USDT ที่เป็น Stablecoin เก่าแก่ในตลาดก็ยังมีศักยภาพในการลงทุนอยู่ ยิ่งมีเหตุการณ์ที่น่าเศร้าเกิดขึ้นกับ Stablecoin ด้วยกันเช่นนี้ แต่ตัวเองยังยืนหยัดในสนามได้ ก็ยิ่งทำให้ USDT มีความน่าเชื่อถือ และมีอนาคตที่สดใสขึ้นไปอีก จากการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนจำนวนมาก
Stablecoin กับอนาคตที่ดับวูบ
หากพูดถึงสถานการณ์ในตอนนี้ คงไม่มีสุภาษิตใดที่จะเหมาะสมไปกว่า ‘ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งห้อง’ อีกแล้ว ถึงแม้ว่า Stablecoin อื่นๆ จะยังมีศักยภาพในการลงทุนอยู่จริง แต่พอนักลงทุนเห็นว่า เหรียญชนิดนี้ ก็เป็น Stablecoin เหมือนกัน ความเชื่อมั่นในศักยภาพของเหรียญก็ลดลง ส่งผลให้เกิดโอกาสในการลงทุนต่ำ และยิ่งมีคนลงทุนน้อย การเติบโตของ Stablecoin ก็จะเหมือนถูกล่ามโซ่ตรวนไว้ไม่ให้โตไปมากกว่านี้
อย่างเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีนักลงทุนที่ไม่เชื่อมั่นในศักยภาพของ Stablecoin หลังจากที่เห็นข่าวว่า ราคาของ UST ดิ่งลงเรื่อยๆ จึงทำให้เกิดการเทขาย Stablecoin อื่นๆ โดยที่ USDT ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย และการเทขายที่ว่านี้ ทำให้ราคาของ USDT เหลือเพียงราวๆ 0.95 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมันก็เป็นเหมือน ‘โซ่’ ของปัญหาที่เกี่ยวกันไปเรื่อยๆ
คงไม่มีใครบอกได้อย่างชัดเจนว่า จะเป็นอย่างไร อาจจะสดใสและดับวูบสลับกันไป รวมถึงเหตุการณ์การถูกโจมตีที่เกิดขึ้นกับลูน่าและ UST ก็อาจจะเกิดขึ้นกับเหรียญอื่นๆ อีกได้ ตราบใดที่โลกของตลาดคริปโทฯ ยังทำทุกอย่างบนอินเทอร์เน็ต และยังมีผู้ไม่หวังดีที่คิดจะกอบโกยผลประโยชน์อยู่
และมันก็เป็นเรื่องน่าเศร้าที่สุดท้ายแล้ว คนที่ต้องรับกรรมหนักสุดจากเหตุการณ์เช่นนี้ เป็นเพียงนักลงทุนตัวจิ๋วที่หวังสร้างอิสรภาพทางการเงินจากการลงทุนเท่านั้น บางคนเสียเงินก้อนใหญ่ไปในชั่วข้ามคืน โดยที่เงินก้อนนั้น มันไม่อาจจะหวนกลับมาสู่อ้อมอกอีกแล้ว…
Sources: https://cnb.cx/3FWeMRV
https://cnb.cx/3lekGVb
https://bit.ly/39UNwr2
https://bloom.bg/3sHO8H7
https://bit.ly/38z5Jdx