Exclusive Interview สุพรรณี อำนาจมงคล ผู้จัดการประจำประเทศไทยของ Red Hat จาก Freedom สู่ Innovation ทำความเข้าใจแก่นแท้ของ Open Source และอนาคตในยุค AI

Share

“Open Source ไม่ใช่แค่ซอฟต์แวร์ฟรี แต่คือ Freedom Software เป็นอิสระที่ทุกคนจะมาแชร์องค์ความรู้และพัฒนาร่วมกัน” คำพูดนี้มาจากผู้บริหารที่อยู่ในวงการซอฟต์แวร์มากว่า 11 ปี สะท้อนให้เห็นมุมมองที่น่าสนใจของการพัฒนาซอฟต์แวร์ในยุคที่ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

Future Treds ได้คุยกับคุณสุพรรณี อำนาจมงคล ผู้จัดการประจำประเทศไทยของ  Red Hat ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ จะมีประเด็นไหนที่น่าสนใจบ้าง ตามไปดูด้วยกันได้เลย

เข้าใจความเป็น Open ที่แท้จริง

ลองนึกถึงน้ำก๊อกที่เราใช้กันทุกวัน – น้ำก๊อกฟรีไหม? ฟรี แต่คนส่วนใหญ่เลือกซื้อน้ำขวดราคา 7 บาท เพราะมีตราประทับรับรองความปลอดภัย และมีคนรับผิดชอบชัดเจน เช่นเดียวกับซอฟต์แวร์ที่มีทั้งเวอร์ชันฟรีที่ทุกคนใช้ได้ และเวอร์ชันที่มีการรับประกันคุณภาพ

Open Source จึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “ฟรี” หรือ “ไม่ฟรี” แต่เป็นเรื่องของ “Freedom” หรืออิสระในการพัฒนาและแบ่งปัน เปรียบเสมือนสูตรอาหารที่เชฟแชร์ให้คนอื่นนำไปทำต่อ ปรับแต่ง หรือพัฒนาให้ดีขึ้น ภายใต้เงื่อนไขที่ตกลงร่วมกัน

วิวัฒนาการของ Open Source: จากห้องแล็บสู่องค์กรระดับโลก

ย้อนกลับไป 10-20 ปีก่อน การพัฒนาซอฟต์แวร์ถูกจำกัดอยู่ในองค์กรปิด ทุกอย่างเป็นความลับทางการค้า นักพัฒนาต่างทำงานแยกส่วนกัน แต่เมื่อโลกเชื่อมต่อกันด้วยอินเทอร์เน็ต คำถามสำคัญคือ “ทำอย่างไรให้คนทั่วโลกมาช่วยกันพัฒนาซอฟต์แวร์ตัวเดียวกันได้?”

นี่คือจุดกำเนิดของ Open Source Community – ชุมชนที่เชื่อว่าการแบ่งปัน Source Code คือรากฐานของนวัตกรรม เพราะถ้าโค้ดถูกปิด การต่อยอดและทดสอบร่วมกันก็เป็นไปไม่ได้ ปัจจุบัน Fortune 500 กว่า 90% ใช้ Open Source Technology

แต่เมื่อองค์กรขนาดใหญ่ต้องนำ Open Source ไปใช้งานจริง คำถามสำคัญคือ “จะมั่นใจได้อย่างไรว่าระบบปลอดภัยและมีเสถียรภาพ?” จากความท้าทายนี้ จึงเกิดเป็น Enterprise Commercial Open Source ที่นำจุดแข็งของชุมชนมาผสานกับมาตรฐานระดับองค์กร

เราจะเห็นได้ว่าองค์กรใหญ่ๆ เริ่มมองเห็นคุณค่าของ Open Source มากขึ้น ไม่ใช่เพราะมันฟรี แต่เพราะมันให้อิสระในการพัฒนา สร้างนวัตกรรม และที่สำคัญ – มันมี Community ขนาดใหญ่ที่พร้อมจะพัฒนาและแก้ไขปัญหาร่วมกัน

ตัวอย่างความสำเร็จที่จับต้องได้ 

หนึ่งในความสำเร็จที่ชัดเจนของ Open Source คือในวงการธนาคารไทย โดยเฉพาะ Mobile Banking ทั้งหมดนี้ทำงานอยู่บน Open Source Infrastructure

ทำไมธนาคารซึ่งต้องการความปลอดภัยสูงถึงเลือกใช้ Open Source? คำตอบคือ Time to Market – ความเร็วในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า จากเดิมที่ต้องใช้เวลา 3-6 เดือนในการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ กลายเป็นแค่ไม่กี่อาทิตย์

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทั้งองค์กร ทั้งในแง่

  • People: การพัฒนาทักษะของทีม
  • Process: การปรับกระบวนการทำงาน
  • Technology: การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้

ความท้าทายของ Security 

หลายคนอาจกังวลว่า Open Source จะปลอดภัยหรือไม่ ความจริงคือ การที่โค้ดเปิดเผยกลับทำให้ช่องโหว่ถูกค้นพบและแก้ไขได้เร็วขึ้น โดยทีมงานมืออาชีพจะ:

  • ทดสอบความปลอดภัยก่อนปล่อยให้ใช้งาน
  • ปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น PCI
  • มีทีม Security คอยเฝ้าระวังและแก้ไขช่องโหว่
  • รับประกันการแก้ไขปัญหาสำคัญภายใน 24 ชั่วโมง

นี่คือเหตุผลที่ทำให้องค์กรขนาดใหญ่มั่นใจในการใช้ Enterprise Open Source แม้จะต้องมีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าเทียบกับมูลค่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง

เมื่อ AI มาถึง  Open Source ในยุคใหม่ ปรับตัวอย่างไร

Generative AI ได้เปลี่ยนโลกในเวลาแค่ 3 เดือน สิ่งที่เคยต้องใช้เวลา 10 ปีในการพัฒนา กลับเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีนี้เข้าถึงผู้ใช้มากขึ้น จนแทบทุกคนกลายเป็นผู้ใช้ AI โดยไม่รู้ตัว

ในด้าน Open Source กับ AI มีการพัฒนาใน 3 ทิศทางหลัก:

  • การทำให้ผลิตภัณฑ์เดิมฉลาดขึ้นด้วย AI
  • การเปิด Open Source AI Models ให้ชุมชนใช้และพัฒนา
  • การสร้าง Enterprise AI Platform สำหรับองค์กร

หนึ่งในความท้าทายของ AI คือต้นทุนในการ Train Model ที่สูงมาก การมี Open Source AI Models จึงช่วยให้นักพัฒนาที่มีทรัพยากรจำกัดสามารถนำโมเดลที่มีอยู่แล้วไปต่อยอดได้ โดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์

แต่คำถามสำคัญคือ “Use Case ที่เหมาะสมคืออะไร?” หลายองค์กรกำลังมองหาจุดที่ AI จะสร้างคุณค่าได้จริง ไม่ใช่แค่ตามกระแส เพราะแม้เทคโนโลยีจะพร้อม แต่การนำไปใช้ต้องคำนึงถึง:

  • ความคุ้มค่าทางธุรกิจ
  • ความพร้อมขององค์กร
  • ประเด็นด้านกฎหมายและจริยธรรม
  • การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล

การปรับตัวของ Developer ยุคใหม่

แม้ AI จะสามารถเขียนโค้ดได้ แต่บทบาทของ Developer ไม่ได้หายไป กลับต้องปรับตัวให้ทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในด้าน:

  • การ Guide AI ให้สร้างโค้ดที่มีคุณภาพ
  • การทำ Peer Review เพื่อตรวจสอบและพัฒนาโค้ด
  • การเข้าใจ Logic และออกแบบระบบ
  • การใช้ AI เป็นเครื่องมือเพิ่ม Productivity

การสร้างวัฒนธรรมองค์กรในยุค Open & AI 

ความท้าทายของการทำงานยุคใหม่ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีอย่างเดียว แต่อยู่ที่การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เหมาะสม โดยเฉพาะการทำงานข้าม Generation ตั้งแต่ Baby Boomer, Gen X, Y จนถึง Z

องค์กรที่ประสบความสำเร็จต้องมีวัฒนธรรม 4 ประการที่สอดคล้องกัน

  • Freedom: อิสระในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
  • Accountability: ความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์
  • Courage: ความกล้าที่จะคิดและทำสิ่งใหม่
  • Commitment: มุ่งมั่นสู่เป้าหมายร่วมกัน

ทั้ง 4 องค์ประกอบนี้ต้องทำงานร่วมกัน Freedom ที่ไม่มี Accountability จะกลายเป็นความวุ่นวาย Courage ที่ไม่มี Commitment จะไร้ทิศทาง Accountability ที่ไม่มี Courage จะไม่เกิดแรงบันดาลใจ

บทเรียนสำหรับผู้นำยุคใหม่ 

การเป็นผู้นำในยุค Open Source และ AI ต้องเข้าใจว่า:

  • ความล้มเหลวคือส่วนหนึ่งของนวัตกรรม
  • ต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับการทดลอง
  • การเรียนรู้ต้องเร็ว “Fail Fast, Learn Fast”
  • ต้องเปิดใจรับฟังไอเดียใหม่ๆ จากทุก Generation

สุดท้าย การใช้ Open Source ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของแนวคิดที่เชื่อว่า Innovation เกิดจากการแบ่งปันและร่วมมือกัน เช่นเดียวกับ AI ที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานและสร้างคุณค่าใหม่ๆ

ในโลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การตามให้ทัน แต่คือการสร้างรากฐานที่แข็งแรงผ่านการแบ่งปันความรู้ การเปิดรับสิ่งใหม่ และการทำงานร่วมกันข้ามทุกข้อจำกัด

Enterprise Open Source Infrastructure รากฐานความสำเร็จของธุรกิจยุคดิจิทัล

จากวันที่ทุกองค์กรต้องพัฒนาซอฟต์แวร์แยกส่วนกัน สู่ยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ความท้าทายของธุรกิจไม่ใช่แค่การมีซอฟต์แวร์ที่ทำงานได้ แต่ต้องพร้อมปรับเปลี่ยนและต่อยอดได้อย่างรวดเร็ว

Enterprise Open Source Infrastructure คือคำตอบสำหรับองค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่นและความน่าเชื่อถือไปพร้อมกัน โดยเฉพาะในยุคที่ Time to Market เป็นปัจจัยสำคัญ การที่องค์กรสามารถพัฒนาและปรับระบบจาก 3-6 เดือน เหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์ คือความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ชัดเจน

แต่ทำไมต้องเป็น Enterprise Version? 🤔

หลายคนสงสัยว่าทำไมไม่ใช้ Community Version ที่ฟรี คำตอบคือ Enterprise Version ไม่ใช่แค่เครื่องยนต์ แต่เป็นรถยนต์ทั้งคันที่พร้อมใช้งาน ประกอบด้วย:

  • ระบบมอนิเตอริ่งแอพพลิเคชัน
  • การจัดการ Logging
  • การเชื่อมต่อกับระบบเครือข่าย
  • เครื่องมือสำหรับนักพัฒนา
  • การรับประกันและสนับสนุน

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ Ecosystem ที่แข็งแกร่ง โดยมีการรับรอง (Certification) กับ:

  • ฮาร์ดแวร์ชั้นนำเกือบทุกแบรนด์
  • ระบบปฏิบัติการ Windows
  • แอพพลิเคชันสำเร็จรูปหลัก
  • โซลูชันความปลอดภัยต่างๆ

นี่หมายความว่าองค์กรสามารถมั่นใจได้ว่าระบบทั้งหมดจะทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น และได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการโดยตรง

ในด้านความปลอดภัย มีการทดสอบก่อนปล่อยให้ใช้งาน ปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรม และมีทีม Security เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง หากพบปัญหาสำคัญ จะได้รับการแก้ไขภายใน 24 ชั่วโมง

ที่สำคัญ เมื่อมีการอัพเดทเวอร์ชันใหม่ องค์กรไม่ต้องกังวลว่าส่วนประกอบต่างๆ จะทำงานร่วมกันได้หรือไม่ เพราะทุกอย่างผ่านการทดสอบและรับรองมาแล้ว

ทำไม 90% ของ Fortune 500 จึงเลือกใช้ Red Hat

ตัวเลข 90% ของบริษัทใน Fortune 500 ที่ใช้เทคโนโลยี Red Hat ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เมื่อมองลึกลงไป จะเห็นว่าองค์กรระดับโลกต่างมองหาสิ่งที่มากกว่าแค่ซอฟต์แวร์ พวกเขาต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้ และพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลง

ตัวอย่างความสำเร็จในประเทศไทย 🏦

เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ประเทศไทยเคยติดอันดับ 3 ของโลกด้าน e-Payment รองจากอินเดียและจีนเท่านั้น โดยถ้าคิดตามสัดส่วนประชากร ประเทศไทยมีอัตราการใช้งานสูงที่สุด

ปัจจัยสำคัญคือการที่ธนาคารชั้นนำของไทยเลือกใช้ Open Source Infrastructure เป็นรากฐาน ทำให้สามารถพัฒนาและขยายระบบได้อย่างรวดเร็ว รองรับการเติบโตที่ก้าวกระโดด

การันตีคุณภาพระดับโลก 🌏

นอกจากการได้รับความไว้วางใจจาก Fortune 500 แล้ว ผลิตภัณฑ์หลักยังติดอันดับใน Magic Quadrant ของ Gartner ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความเป็นผู้นำในตลาดระดับโลก

ที่สำคัญ เมื่อองค์กรเลือกใช้ Enterprise Open Source พวกเขาไม่ได้แค่ซื้อซอฟต์แวร์ แต่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง มีการแลกเปลี่ยนความรู้ และการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก

การเลือกใช้ Enterprise Open Source จึงไม่ใช่แค่การตัดสินใจทางเทคนิค แต่เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยให้องค์กรเติบโตได้อย่างยั่งยืน พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

Red Hat AI Strategy: รากฐานสู่อนาคตของ Enterprise AI

ในยุคที่ Generative AI เปลี่ยนโลกในเวลาเพียง 3 เดือน Red Hat ได้วางกลยุทธ์ด้าน AI ที่ครอบคลุม 3 ด้านหลัก เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง

  1. การพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมให้ฉลาดขึ้น 🤖 ผลิตภัณฑ์หลักอย่าง Enterprise Linux, OpenShift และ Ansible จะได้รับการเพิ่มความสามารถด้าน AI เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถจัดการระบบได้ง่ายขึ้น และมีเครื่องมือช่วยในการบริหารจัดการที่ชาญฉลาดมากขึ้น
  2. การสนับสนุน Open Source AI Community 🌐 ด้วยความร่วมมือกับ IBM Watson เกิดเป็นโมเดล AI แบบ Open Source ที่ชื่อว่า Granite ภายใต้ Apache License ให้นักพัฒนาทั่วโลกสามารถนำไปต่อยอดได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องต้นทุนในการ Train Model ที่สูง
  3. Enterprise AI Infrastructure 🏢 Red Hat Enterprise AI เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนา AI Model บนระบบของตัวเอง รองรับทั้ง On-premise และ Hybrid Cloud เพื่อตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัยของข้อมูล

ความแตกต่างที่เหนือกว่า ⭐

จุดเด่นของ Red Hat Enterprise AI อยู่ที่การเป็น Application Platform ที่สมบูรณ์ ไม่ใช่แค่ Container Engine เท่านั้น ประกอบด้วย:

  • ระบบติดตามและจัดการ Application
  • การจัดการ Logging
  • การเชื่อมต่อกับ Network Infrastructure
  • เครื่องมือสำหรับ Developer
  • การรับประกันและสนับสนุน

สำหรับองค์กรที่กังวลเรื่อง Data Privacy Red Hat มีโซลูชันที่รองรับการ Train Model แบบ On-premise ทำให้ข้อมูลสำคัญไม่ต้องออกนอกองค์กร

Red Hat ไม่ได้มองว่า AI จะมาแทนที่มนุษย์ แต่จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่ม Productivity และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ โดยยังคงยึดมั่นในหลักการของ Open Source ที่เน้นความโปร่งใส การแบ่งปัน และการพัฒนาร่วมกัน